สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ว่ากองทัพอิสราเอลประกาศให้ประชาชนในเมืองราฟาห์ ทางตอนใต้ของฉนวนกาซา อพยพอีกในหลายเขต โดยกำหนดให้ผู้ที่อพยพทั้งหมด ไปรวมตัวกันยัง “เขตมนุษยธรรม” ที่เมืองอัล-มาวาซี


อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านั้น กองทัพอิสราเอลประกาศให้ประชาชนในเขตตะวันออกของเมืองราฟาห์ต้องอพยพออกจากพื้นที่ ซึ่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) รายงานว่า มีประชาชนอพยพออกมาแล้วมากกว่า 80,000 คน และพื้นที่ซึ่งอิสราเอลกำหนดให้เป็นเขตปลอดภัย มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่เพียง 30 ตารางกิโลเมตร มีค่ายที่พักพิง 9 แห่ง คลินิก 3 แห่ง และคลังสินค้าอีก 6 แห่ง


ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล กล่าวว่า อิสราเอลพร้อมเดินหน้าปฏิบัติการภาคพื้นดินในเมืองราฟาห์ “ด้วยตัวเอง” หลังประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ กล่าวว่า จะยุติการสนับสนุนด้านอาวุธทั้งหมด หากอิสราเอลปฏิบัติการทางทหารภาคพื้นดินในเมืองราฟาห์


ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเผยแพร่รายงาน “มีเหตุผลให้ประเมินได้ว่า” อิสราเอลซึ่งได้รับความช่วยเหลือด้านอาวุธจากรัฐบาลวอชิงตัน ใช้อาวุธดังกล่าว “ในทางที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ” ระหว่างการทำสงครามกับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา ซึ่งยืดเยื้อตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 2566


กระนั้น รายงานระบุว่า “ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน” เกี่ยวกับเรื่องนี้ และการประเมิน “ยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์” นอกจากนี้ เนื้อหาในรายงานยังไม่ได้ระบุอย่างเจาะจง ว่าอิสราเอลละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศในสงครามฉนวนกาซาหรือไม่.

เครดิตภาพ : AFP