สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 13 พ.ค. ว่า นายแอนโทนี บลิงเคน รมว.การต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า หากกองทัพอิสราเอลเปิดฉากปฏิบัติการทางทหารภาคพื้นดินในเมืองราฟาห์ ทางตอนใต้ของฉนวนกาซาจริง นอกจากจะก่อให้เกิดความเสียหายและความสูญเสียอย่างร้ายแรงแล้ว การโจมตีดังกล่าวยังไม่น่าหยุดยั้งภัยคุกคามจากกลุ่มฮามาสได้


บลิงเคนขยายความว่า แม้กลุ่มฮามาสยอมลงจากอำนาจการปกครองในฉนวนกาซา แต่สิ่งที่อิสราเอลจะได้รับคือ ภาวะสุญญากาศที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย และภาวะอนาธิปไตย ซึ่งอาจมีกลุ่มฮามาสคอยปลุกระดมอยู่เบื้องหลังด้วย ขณะเดียวกัน ข้อมูลข่าวกรองของสหรัฐพบว่า สมาชิกกลุ่มฮามาสเริ่มกลับเข้าไปยังพื้นที่ทางเหนือของฉนวนกาซา แม้เป็นเขตที่อิสราเอลประกาศ “การปลดปล่อย” แล้วก็ตาม


ด้านกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐออกแถลงการณ์ ว่าบลิงเคนสนทนาทางโทรศัพท์กับนายโยอาฟ กัลลันต์ รมว.กลาโหมอิสราเอลด้วย โดยเจ้าหน้าที่การทูตระดับสูงของรัฐบาลวอชิงตัน เน้นย้ำความสำคัญและความจำเป็น ของการที่อิสราเอลต้องปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือนในฉนวนกาซา “ด้วยความจริงจังมากกว่านี้”

นอกจากนี้ บลิงเคนยืนยันการประกาศของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ว่าสหรัฐระงับความสนับสนุนด้านอาวุธบางส่วนกับอิสราเอล เนื่องจากการใช้ความรุนแรงของอีกฝ่าย ในสงครามฉนวนกาซา และเน้นย้ำว่า รัฐบาลวอชิงตันจะไม่มอบความสนับสนุนในทางใด หากอิสราเอลเดินหน้าปฏิบัติการทางทหารภาคพื้นดิน ในเมืองราฟาห์

อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์ รายงานจำนวนผู้เสียชีวิตนับตั้งแต่สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสปะทุ ในฉนวนกาซา เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 เพิ่มเป็นใมากกว่า 35,000 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บสะสมอีกมากกว่า 78,000 คน


ขณะที่นายโฟลเคอร์ เติร์ก ข้าหลวงด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ยืนกรานว่า ยูเอ็นไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง กับการที่อิสราเอลเตรียมปฏิบัติการทางทหารภาคพื้นดิน ที่เมืองราฟาห์ ในภาคใต้ของฉนวนกาซา และวิจารณ์การที่กองทัพอิสราเอลออกคำสั่งอพยพเพิ่มเติม ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่เกือบ 1 ล้านคน ต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นอีก.

เครดิตภาพ : AFP