สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 13 พ.ค. ว่า ไวโปเตรียมจัดการพูดคุยเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อหาข้อสรุปให้สนธิสัญญาปกป้องทรัพยากรชีวภาพ จากการแสวงหาประโยชน์ และเพิ่มความโปร่งใสในระบบสิทธิบัตรมากกว่าเดิม เพื่อต่อสู้กับปัญหาสิทธิอธิปไตยเหนือทรัพยากรชีวภาพ หลังมีการเจรจามานานกว่า 20 ปี

นายดาเรน ถัง ผู้อำนวยการไวโป ระบุว่า “นี่เป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์” ขณะที่รัฐสมาชิกมากกว่า 190 ประเทศ รวมตัวกันที่สำนักงานใหญ่ของไวโป ณ นครเจนีวา เพื่อเข้าร่วมการเจรจา ที่จะดำเนินไปจนถึงวันที่ 24 พ.ค. นี้

“มันเป็นการต่อสู้กับการละเมิดลิขสิทธิทางชีวภาพ ซึ่งเป็นนำความรู้ดั้งเดิมหรือทรัพยากรทางพันธุกรรมมาใช้ โดยปราศจากการยอมรับโดยเจ้าของทรัพยากร และทำให้พวกเขาไม่ได้รับผลประโยชน์” นายคริสตอฟ บีโกต์ ผู้นำคณะผู้แทนฝรั่งเศส ระบุ

แม้ทรัพยากรที่มาจากธรรมชาติ อาทิ พันธุกรรมจากพืชสมุนไพร พืชผลทางการเกษตร และพันธุ์สัตว์ จะไม่ถูกคุ้มครองในฐานะทรัพย์สินระหว่างประเทศโดยตรง แต่สิ่งประดิษฐ์ที่พัฒนาโดยใช้ทรัพยากรเหล่านี้สามารถจดสิทธิบัตรได้ โดยบริษัทต่าง ๆ ใช้ทรัพยากรเหล่านี้ ในการผลิตสิ่งต่าง ๆ ตั้งแต่เครื่องสำอางไปจนถึงเมล็ดพันธุ์พืช, ยา, เทคโนโลยีชีวภาพ และอาหารเสริม

องค์กรเอกชนอ้างถึงกรณีสิทธิบัตรจากผลิตภัณฑ์ของพืชมาคา หรือโสมเปรู, กระบองเพชรฮูเดียจากแอฟริกาใต้ และสะเดาจากอินเดีย โดยเมื่อปี 2538 สะเดา พืชซึ่งถูกใช้อย่างแพร่หลายในอินเดียมาหลายพันปี ในด้านการเกษตร, ยา และเครื่องสำอาง อยู่ภายใต้สิทธิบัตรหลายชุดที่จดโดย ดับเบิลยู อาร์ เกรซ บริษัทเคมีภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ

หลังจากต่อสู้กันมากว่า 10 ปี สำนักงานสิทธิบัตรยุโรปได้เพิกถอนสิทธิบัตรเป็นครั้งแรก โดยอ้างว่าเป็น “การละเมิดลิขสิทธิ์ทางชีวภาพ” ทั้งนี้ ร่างสนธิสัญญาของไวโปได้กำหนดว่า ผู้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรจะต้องเปิดเผยว่า ทรัพยากรพันธุกรรมในผลิตภัณฑ์มาจากประเทศใด และให้รายละเอียดชนพื้นเมืองที่ให้ความรู้เกี่ยวกับทรัพยากรนั้น ๆ

ในทางกลับกัน ผู้ไม่เห็นด้วยกันสนธิสัญญาดังกล่าวกังวลว่าสนธิสัญญานี้ อาจขัดขวางการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ แต่ผู้เสนอโต้แย้งว่า ข้อกำหนดเพิ่มเติมจะเพิ่มความชัดเจน, ความโปร่งใส และประสิทธิภาพทางกฎหมายให้กับระบบสิทธิบัตร

นายเวนด์ เวนแลนด์ ผอ.แผนกภูมิปัญญาดั้งเดิม ระบุว่า อนุสัญญานี้ จะช่วยให้เรามั่นใจว่าความรู้และทรัพยากรจะถูกใช้โดยได้รับอนุญาตจากประเทศ และ/หรือชุมชนที่เป็นผู้ให้กำเนิด ซึ่งจะทำให้พวกเขาได้รับประโยชน์จากสิ่งประดิษฐ์เหล่านั้น

เวนแลนด์ระบุเพิ่มเติมถึงการรับรองตราสารฉบับนี้ว่า “จะเป็นการสรุปผลการเจรจาในประเด็น ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อหลายประเทศ ตลอดระยะเวลากว่า 2 ทศวรรษ” โดยไวโปหวังว่าประเทศต่าง ๆ จะสามารถหาฉันทามติได้ แม้ความขัดแย้งในส่วนของการคว่ำบาตร และเงื่อนไขในการเพิกถอนสิทธิบัตรยังคงมีอยู่

“เนื้อหาในอนุสัญญาถูกจำกัดให้แคบลงมากขึ้น เพื่อที่จะบรรลุการประนีประนอม” ดร.วิเวียนา มูโนซ เทลเลซ จากศูนย์สุขภาพ ทรัพย์สินทางปัญญา และความหลากหลายทางชีวภาพทางใต้ ซึ่งทำหน้าที่เป็นกลุ่มคลังสมองระหว่างรัฐ และเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประเทศกำลังพัฒนากว่า 55 ประเทศ ระบุ

เธอระบุเพิ่มเติมว่า สนธิสัญญาฉบับนี้มี “คุณค่าเชิงสัญลักษณ์” เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่จะมีการอ้างอิงถึงบางประเด็น อาทิ ทรัพย์สินทางปัญญาในภูมิปัญญาดั้งเดิม ส่งผลให้สนธิสัญญาดังกล่าวมีผลโดยตรง ในแง่ของความโปร่งใส แม้มันจะไม่สามารถตอบสนองทุกปัญหาได้

มากกว่า 30 ประเทศ มีข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องในกฎหมายภายในประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ได้แก่ จีน บราซิล อินเดีย และแอฟริกาใต้ และบางประเทศในยุโรป อาทิ ฝรั่งเศส เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนเหล่านี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ และไม่ได้ถือเป็นข้อบังคับเสมอไป

“การก้าวข้ามการโต้เถียงที่ไม่เกิดประโยชน์ระหว่างประเทศซีกโลกเหนือและใต้คือสิ่งสำคัญ” นักการทูตรายหนึ่งกล่าวเสริม “หลายประเทศในซีกโลกเหนือมีทรัพยากรพันธุกรรม อาทิ ออสเตรเลียหรือฝรั่งเศส ขณะที่หลายประเทศในซีกโลกใต้มีห้องปฏิบัติการและบริษัทขนาดใหญ่มากที่ใช้ทรัพยากรพันธุกรรม อาทิ อินเดียหรือบราซิล”

เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ประเทศต่าง ๆ ตกลงกันอย่างไม่คาดคิด ในการจัดการประชุมทางการทูตในปี 2567 เพื่อหาข้อสรุป ขณะเดียวกัน สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น แยกตัวออกจากการตัดสินใจดังกล่าวอย่างเป็นทางการ โดยไม่คัดค้านฉันทามติดังกล่าวแต่อย่างใด

อย่างไรก็ดี คณะผู้แทนถาวรญี่ปุ่น ณ นครเจนีวา อธิบายเพิ่มเติมว่า พวกเขาหวังว่าผลลัพธ์ของการประชุมจะชัดเจน, สมเหตุสมผล และนำไปปฏิบัติได้จริง.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES