สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 4 ต.ค.ว่านายโรเบิร์ต เดวิส ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร ( ซีอีโอ ) ของบริษัทเมอร์ค หนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมยาของสหรัฐ กล่าวเมื่อวันจันทร์ เกี่ยวกับความคืบหน้าในการพัฒนายาโมนูพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสให้ทางปาก ที่ผลการทดสอบล่าสุดปรากฏว่า มีประสิทธิภาพดีในการต่อต้านเชื้อไวรัสโคโรนา "จะเป็นการพลิกกลยุทธ์ของมนุษย์อย่างสิ้นเชิง" ในการบริหารจัดการโรคโควิด-19
ทั้งนี้ เมอร์คและพันธมิตรในการผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ คือบริษัทริดจ์แบค ไบโอเทอราพิวติกส์ เตรียมยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ ( เอฟดีเอ ) ภายในอนาตอันใกล้นี้ เพื่อขอขึ้นทะเบียนรับรองยาโมลนูพิราเวียร์เป็นกรณีฉุกเฉิน และมีแผนดำเนินการแบบเดียวกันผ่านตัวแทนทั่วโลก
ท่าทีล่าสุดของเมอร์คเกิดขึ้น หลังเมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีการเผยแพร่ผลการทดสอบเบื้องต้น เกี่ยวกับประสิทธิภาพทางคลินิกขั้นที่ 3 ของยาโมลนูพิราเวียร์ โดยใช้อาสาสมัคร 775 คน ปรากฏว่า มีเพียง 7.3% ของกลุ่มที่รับประทานยาโมลนูพิราเวียร์วันละสองครั้ง ต่อเนื่องเป็นเวลา 5 วัน ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลจากโรคโควิด-19 และไม่มีการเสียชีวิตเกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 29 วันของการทดลอง อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มผู้ที่ได้รับยาหลอก มี 14.1% ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และมีผู้เสียชีวิต 8 ราย
อนึ่ง เมอร์คและพันธมิตรมีแผนผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ 10 ล้านชุด ภายในสิ้นปีนี้ โดยหนึ่งในลูกค้าสำคัญรายแรกคือรัฐบาลสหรัฐของประธานาธิบดีโจ ไบเดน สั่งซื้อแล้ว 1.7 ล้านชุด ในราคาชุดละ 700 ดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 23,660 บาท ) พร้อมสิทธิในการซื้อเพิ่มเติมได้อีก 3.5 ล้านชุด โดยการรักษาด้วยยาโมลนูพิราเวียร์ 1 ชุด ใช้ 40 เม็ด แบ่งรับประทานต่อเนื่อง 5 วัน วันละ 8 เม็ด แบ่งเป็น 2 ครั้ง ครั้งละ 4 เม็ด.

เครดิตภาพ : REUTERS