เมื่อวันที่ 23 พ.ค. นายเอ (นามสมมุติ) อายุ 60 ปี และ นางบี (นามสมมุติ) อายุ 60 ปี ได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วังเจ้า เพื่อให้ดำเนินคดีกับลูกชาย อายุ 35 ปี ที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวเสพยาบ้า คลุ้มคลั่งเดินแก้ผ้าอาละวาดทุบทำลายข้าวของ มีพฤติกรรมช่วยตนเอง และที่หนักสุดคือพยายามปลุกปล้ำทำอนาจารสาวใหญ่อายุ 50 ปี เคราะห์ดีที่ลูกหลานเข้ามาช่วยไว้ทัน จากนั้นก็ได้วิ่งหนีเข้าไปในป่าข้างหมู่บ้าน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านศรีคีรีรัฐ หมู่ 11 ต.เชียงทอง อ.วังเจ้า จ.ตาก

พ่อของผู้ก่อเหตุ เล่าว่า ลูกชายมีพฤติกรรมเสพยาบ้า ก่อนหน้านี้เคยติดคุกในคดีครอบครองเพื่อจำหน่ายมาแล้ว หลังออกจากเรือนจำได้ประมาณ 5-6 เดือนที่ผ่านมา ลูกชายหวนกลับไปเสพยาบ้าดังเดิม ตนพยายามห้ามแล้วแต่ลูกชายไม่ฟัง กลับมีพฤติกรรมด่าทอพ่อแม่และบุคคลรอบข้าง จนไม่มีใครสามารถห้ามปรามได้ จนอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ ตนพยายามทุกวิธีทางแต่ไม่เป็นผล ก็ต้องปล่อยให้อยู่บ้าน ส่วนตนพร้อมกับลูกๆ และภรรยาก็ต่างพากันแยกย้ายออกทำมาหากินในแต่ละวัน ไม่มีเวลาดูแล

“ซึ่งหลังๆ มานี้ ลูกชายของตนจะมีพฤติกรรมเดิมแก้ผ้า บางครั้งก็ช่วยตัวเองไปด้วย ปากก็ตะโกนด่าทอพ่อแม่หรือบุคคลอื่นๆ สลับกับร้องเพลงตะโกนเอะอะโวยวาย จนเป็นที่รำคาญของชาวบ้าน และบุคคลที่พบเห็น และเป็นที่หวาดกลัวของหญิงสาวในหมู่บ้านจนล่าสุด ชาวบ้านหวาดกลัวถึงขั้นที่ลูกชายเดินผ่าน ต้องปิดบ้านหนีกันเลยทีเดียว” พ่อของผู้ก่อเหตุ กล่าว

พ่อของผู้ก่อเหตุ กล่าวต่อว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น ได้แจ้งให้ผู้ใหญ่บ้านทราบแล้ว ผู้ใหญ่บ้านก็พยายามหาวิธีป้องกัน แต่เนื่องจากผู้ก่อเหตุมีการคลุ้มคลั่งอย่างหนัก ผู้ใหญ่บ้านก็ทำได้แค่ขับไล่ในช่วงที่ลูกชายของตนมีอาการคลุ้มคลั่งอย่างหนักเท่านั้น ไม่สามารถเข้าใกล้ตัวได้ ผู้ใหญ่บ้านจึงแนะนำให้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วังเจ้า ส่วนเรื่องที่ลูกชายของตนทำร้ายข้าวของทรัพย์สินภายในบ้าน พร้อมกับทำลายรถยนต์นั้น ตนเองยืนยันขอแจ้งความดำเนินคดีกับลูกชายของตนเองให้ถึงที่สุด

ขณะที่ลูกสาวของผู้เสียหาย เล่าว่า ให้ฟังว่าวันเกิดเหตุ แม่ของตน อายุ 50 ปี ซึ่งวันนั้นแม่กำลังพักผ่อนอยู่ภายในบ้าน สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ผู้ก่อเหตุได้เดินแก้ผ้ามุ่งตรงมาที่บ้าน ตรงดิ่งมาบริเวณที่แม่นอนอยู่ พร้อมกับพยายามถอดเสื้อผ้าของแม่ เคราะห์ดีที่ลูกหลานกลับมาบ้านทันเวลา จึงได้ร่วมกับชาวบ้านวิ่งเข้าไปไล่ตีผู้ก่อเหตุ จนทำให้ผู้ก่อเหตุวิ่งหนีเข้าไปในป่า