เมื่อวันที่ 6 ต.ค. แพทยสมาคมฯ ได้ออกหนังสือแถลงการณ์ระบุว่า แถลงการณ์ของแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2564 ตามที่ได้มีข่าวในสื่อมวลชนจำนวนมากว่า ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์) ได้เสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2564 ให้พิจารณาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกกฎหมาย สามารถจำหน่ายได้โดยทั่วไปโดยอ้างเหตุผลว่า อย. สหรัฐ (US FDA) อนุญาตให้ IQOS เป็นผลิตภัณฑ์ยาสูบชนิด Modified Risk Tobacco Products (MRTP) และมีจำหน่ายแล้วใน 67 ประเทศ และเสนอให้มีการพิจารณาผลิตบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยนั้น

แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับคณะแพทย์จากราชวิทยาลัย 14 แห่ง เครือข่ายวิชาชีพแพทย์ เครือข่ายวิชาชีพสุขภาพ และสมาพันธ์เครือข่ายวิชาชีพสุขภาพ ขอเรียนชี้แจงข้อมูลต่อประชาชน สื่อมวลชน คณะรัฐมนตรี และโดยเฉพาะท่านนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) และ ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ (นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์) ด้วยข้อมูลอันเป็นที่ประจักษ์ดังนี้

  1. บุหรี่ไฟฟ้า (E Cigarette) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่สินค้าปกติที่อุตสาหกรรมผู้ผลิตยาสูบ ผลิตขึ้นมาเพื่อเสริมการตลาด และทดแทนบุหรี่มวนจากใบยาสูบเดิมที่กำลังได้รับการพิสูจน์ว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำลายสุขภาพอย่างชัดเจนด้วยผลการวิจัยที่ดำเนินการอยู่ทั่วโลก
  2. บุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่นำเอาสารสกัด นิโคติน (Nicotine) จากใบยาสูบมาผสมในน้ำ โดยมีตัวทำละลายเพื่อให้น้ำมันที่ใช้สกัดสามารถกระจายอยู่ในน้ำได้และเติมกลิ่นจากสารสกัดดอกไม้และผลไม้ ทำให้มีกลิ่นหอมเพิ่มความนิยม
  3. นิโคติน (Nicotine) เป็นสารเสพติด (Potent Addictive) และมีผลทำให้เกิดการอักเสบและตีบตันของหลอดเลือดในระบบการไหลเวียนและหัวใจ (Cardio vascular System)
  4. ในน้ำยาที่ใช้ควบคู่กับบุหรี่ไฟฟ้า (E juice หรือ E liquid) และกระบวนการเผาไหม้จากขดลวดให้ความร้อน มีสารก่อมะเร็งหลายชนิดเกิดขึ้นด้วย
  5. สารนิโคติน (Nicotine) เป็นสารเสพติดที่ทำให้ผู้ใช้เสพติดแล้วจะมีโอกาสเลิกได้ยากมาก และเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ ที่ต้องการการรักษาที่มีราคาแพงและเรื้อรัง ทำลายสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะเยาวชน และ ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์นี้ รวมทั้งผู้ใกล้ชิดที่จะได้รับไอสารพิษนี้ร่วมด้วย
  6. จำนวนความเข้มข้นของสารนิโคติน (Nicotine) ในน้ำยาที่ใช้สูบ (E juice หรือ E Liquid) มีแตกต่างกัน และยากต่อการควบคุม ยิ่งเข้มข้นมาก การติดยายิ่งรุนแรง และโรคที่เกิดจากสารนิโคตินนี้ก็จะมีความรุนแรงไปด้วย
  7. อุตสาหกรรมผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้า มีการดำเนินการทางการตลาดเพื่อขยายผลการจำหน่ายในหลายรูปแบบ เช่น

7.1 ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ เช่น ให้ข้อมูลว่าบุหรี่ไฟฟ้าสามารถใช้ทดแทนและทำให้สามารถเลิกบุหรี่มวนได้ แต่ไม่ได้กล่าวต่อให้ครบว่า แล้วเมื่อเปลี่ยนมาติดบุหรี่ไฟฟ้าแล้วจะเลิกอย่างไร?

7.2 โฆษณาสินค้าด้วยการสร้างรูปแบบอุปกรณ์ ทั้งรูปร่าง สีสัน และ กลิ่น ให้เป็นที่ดึงดูด เป็นแฟชั่น เป็นการชักนำเยาวชน เข้าเป็นลูกค้า

7.3 ทำการโฆษณาสินค้าในสื่อ Online ที่เย้ายวนให้มีการใช้ในเยาวชน

  1. มีข้อมูลที่ชัดเจนจากประเทศที่อนุญาตให้มีการสูบแบบถูกกฎหมาย เช่น สหรัฐอเมริกาว่าเยาวชนมีการใช้บุหรี่ไฟฟ้ามากขึ้นทั้งในระดับมัธยมต้น และ มัธยมปลาย โดยที่เยาวชนเหล่านี้ไม่ใช่นักสูบหน้าเก่า(ผู้เคยสูบบุหรี่มวนมาก่อน) แต่ล้วนเป็นนักสูบหน้าใหม่ อันเป็นผลจากการให้ข้อมูลและการประชาสัมพันธ์ ที่มอมเมาเยาวชนทั้งสิ้น นอกจากนั้นในกลุ่มนี้ยังพบว่า ส่วนหนึ่งกลายเป็นผู้ที่มีการสูบควบกันทั้ง 2 อย่าง (Dual Smokers) ในที่สุด
  2. ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า มิใช่ผู้ที่สูบบุหรี่มวนอยู่เดิมและต้องการเลิกสูบเท่านั้น แต่ยังมีอีกเป็นจำนวนมากที่ได้รับอิทธิพลจากการตลาดและการที่สามารถเข้าถึงและหาซื้อได้ของบุหรี่ไฟฟ้า และทำให้กลายเป็นผู้ติดยาเสพติด นิโคติน (Nicotine) จากบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนที่มักได้รับการยั่วยุได้ง่าย
  3. บุหรี่ไฟฟ้าไม่เพียงแต่สร้างผลเสียต่อประเทศชาติในทางเศรษฐกิจ (ประชาชนต้องหาซื้อ หรือเจ็บป่วยขาดความสามารถในการทำงาน) แล้วยังสร้างผลร้ายต่อการรักษาสุขภาพของประชาชนและรัฐฯต้องมีค่ารักษาพยาบาลจากโรคอันเกิดจากพิษภัยของ นิโคติน (Nicotine) ในบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าด้วย
  4. ประเทศไทยได้มีการลงนามในความร่วมมือกับอีก 181 ประเทศ ในข้อตกลงความร่วมมือ FTCT ของ WHO ไว้แล้วที่จะร่วมมือกันลดจำนวนคนสูบบุหรี่

แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และองค์กรร่วมข้างต้น ขอขอบพระคุณท่านนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ที่ท่านมีวิสัยทัศน์ในการปกป้องสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะเยาวชน โดยไม่เปิดโอกาสให้มีการพิจารณาเรื่องที่ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ เสนอ และขอเรียนเพิ่มเติมว่า คณะแพทย์และบุคลากรด้านสาธารณสุขและสุขภาพ มีความภาคภูมิใจที่ประเทศไทยโดยคณะรัฐมนตรีได้กรุณาพิจารณาและผ่านกฎหมาย พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 กฎกระทรวงพาณิชย์ และประกาศต่างๆ มาบังคับใช้ เพื่อปกป้องให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี

ส่วนในกรณีที่ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทวงดิจิทัลฯ (นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์) อ้างถึงว่ามี 67 ประเทศอนุญาตให้มีการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าได้นั้น เราขอให้ท่านได้กลับไปทบทวนคำอนุญาตของประเทศเหล่านั้นว่า แต่ละประเทศล้วนมีข้อแม้ และข้อบ่งชี้ในการใช้ทั้งสิ้น มิใช่ขายได้อย่างอิสระ และยังมีประเทศอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่อนุญาต (Ban) ให้มีการจำหน่าย ด้วยเหตุผลว่าเขาต้องการปกป้องสุขภาพของประชาชนของเขาด้วยกระบวนการ “ป้องกัน ดีกว่าแก้” ดังนั้นแพทยสมาคมฯ และ องค์กรร่วม จึงขอคัดค้านอย่างเต็มที่ในการที่จะมีการพิจารณาให้มีการยกเลิกประกาศของกระทรวงพาณิชย์ในการห้ามนำเข้า และจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย และขอเชิญชวนให้มีการต่อต้านการสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เป็นกำลังในการช่วยกันพัฒนาประเทศชาติต่อไป

ส่วนการเลิกสูบบุหรี่นั้นไม่จำเป็นต้องพึ่งหรืออาศัยบุหรี่ไฟฟ้า หากต้องการเลิกสูบจริงๆ ทางเครือข่ายวิชาชีพสุขภาพเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่และเครือข่ายต่างๆ มีวิธีการและกำลังดำเนินการช่วยเหลืออยู่อย่างเต็มกำลัง ทั้งให้คำปรึกษา และ การจัดหายาเลิกบุหรี่ให้ ท่านสามารถปรึกษาได้ที่สายด่วนเลิกบุหรี่ โทรศัพท์ 1600 (โทรฟรีทุกเครือข่าย) คลินิกฟ้าใส 544 แห่งทั่วประเทศ และที่หน่วยบริการทางการแพทย์ทุกแห่ง ที่ต้องรีบทำก่อนคือ การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และต้องให้ความกระจ่างที่ชัดเจนกับประชาชนทั้งที่สูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าอยู่แล้ว หรือยังไม่เคยสูบ ตระหนักว่า สิ่งที่ร่างกายต้องการจากลมหายใจเข้าปอดคือ “อากาศบริสุทธิ์” เท่านั้น