สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ว่าแม้บริษัทโมเดอร์นาเผยแพร่แถลงการณ์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เตรียมเพิ่มการส่งมอบวัคซีนในปี 2565 โดยจากแผนการส่งมอบวัคซีน 2,000-3,000 ล้านโด๊สให้แก่ลูกค้าทั่วโลกในปี 2565 วัคซีนจากจำนวนดังกล่าว 1,000 ล้านโด๊ส จะเน้นส่งมอบให้กับกลุ่มประเทศฐานะยากจน รวมถึงการส่งมอบวัคซีนเข้าสู่โครงการโคแวกซ์ขององค์การอนามัยโลก ( ดับเบิลยูเอชโอ ) ที่โมเดอร์นายืนยัน "เป็นจำนวนสูงสุด 500 ล้านโด๊ส" ตั้งแต่ไตรมาสที่สี่ของปีนี้ เรื่อยไปจนถึงปีหน้านั้น
ต่อมา เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส เสนอรายงานที่เป็นการอ้างสถิติจาก "แอร์ฟินิตี" บริษัทด้านข้อมูลที่กำลังเกาะติดการส่งมอบวัคซีนของผู้ผลิตทุกแห่งบนโลก ปรากฏว่า เฉพาะการส่งมอบวัคซีนให้แก่ประเทศธนาคารโลก ( เวิลด์แบงก์ ) จัดให้เป็นกลุ่มประเทศยากจน ได้รับวัคซีนรวมกันเพียง 1 ล้านโด๊ส ในขณะที่ไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค ส่งมอบวัคซีนให้แก่ประเทศกลุ่มนี้รวมกัน 8.4 ล้านโด๊ส และจอห์นสันแอนด์จอห์สันส่งมอบวัคซีนให้แก่กลุ่มประเทศยากจนรวมกัน 25 ล้านโด๊ส
ด้านกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางซึ่งบรรลุข้อตกลงและชำระเงินให้แก่โมเดอร์นาแล้ว ยังไม่ได้รับวัคซีนแม้แต่โด๊สเดียว ทั้งนี้ มีอย่างน้อย 3 ประเทศ จ่ายในราคาที่แพงกว่าสหรัฐและสหภาพยุโรป ( อียู ) โดยไทยและโคลอมเบีย "จ่ายแพง" บอตสวานายังไม่ได้รับสินค้า และตูนิเซียไม่สามารถติดต่อกับโมเดอร์นาได้
ขณะที่โมเดอร์นายืนยัน "พยายามอย่างสุดความสามารถในทุกวิถีทาง" เพื่อผลิตวัคซีนให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด แต่ยอมรับว่า "ยังมีศักยภาพจำกัดในหลายด้าน" เนื่องจากเป็นบริษัทที่เพิ่งตั้ง และยังผลิตเพียงวัคซีนต้านโควิด-19 แตกต่างจากไฟเซอร์ จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และแอสตราเซเนกา "ซึ่งมีประสบการณ์โชกโชนกว่า" เพราะผลิตยาและวัคซีนหลายชนิด 
ส่วนแหล่งข่าวในทำเนียบขาวเผยว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ต้องการให้โมเดอร์นาแบ่งปันเทคโนโลยีให้แก่ประเทศอื่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการผลิต ซึ่งโมเดอร์นายืนยันการจัดสรรงบประมาณ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 16,905 ล้านบาท ) เพื่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีนจากเทคโนโลยีเอ็มอาร์เอ็นเอในทวีปแอฟริกา แน่นอนว่าต้องรวมวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เช่นกัน.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES