อีกไม่ช้าทิวทัศน์สีเขียวสดใสประจำฤดูร้อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง เหลือง ส้ม แล้วฤดูใบไม้เปลี่ยนสีก็จะกลับมาเยือนประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง และหนึ่งในพื้นที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ดีที่สุดก็คือ “ภูมิภาคโทโฮคุ” กับ 6 จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีในเส้นทางของ JR EAST PASS
ที่แรกคือ “อ่าวมัตสึชิมะ” จังหวัดมิยางิ ซึ่งมีจุดท่องเที่ยวอย่าง “วัดโกะไดโด” ซึ่งถือเป็นจุดชมวิวอ่าวมัตสึชิมะที่ดีที่สุดถึงขั้นติด 1 ใน 3 ทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดของญี่ปุ่น ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปทั้งห้าที่ชาวญี่ปุ่นเรียกกันว่า “โกะไดเมียวโอ” ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันสำคัญแห่งชาติ
ไม่ไกลกันคือ “วัดเอนสึอิน” จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีจุดแรก ที่นี่เป็นวัดประจำตระกูลของดาเตะ มิตสึมุเนะ หลานชายของไดเมียวผู้มีชื่อเสียงจากยุคเซนโกคุ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงต้นไม้ในสวนหินของวัดจะเปลี่ยนเป็นสีสันสดใส ยามค่ำคืนจะมีการประดับไฟหลากสีให้บรรยากาศชวนฝันสวยงามไปอีกแบบ
มาจากสถานีโตเกียวให้นั่งรถไฟโทโฮคุชินคันเซ็นฮายาบุสะ มาลงที่สถานีเซนได (1 ชั่วโมง 30 นาที) จากนั้นนั่งรถไฟสายเซนเซกิ จากสถานีเซนไดมาลงที่สถานีมัตสึชิมะไคกัน (40 นาที) เดินมาอีก 5 นาทีจะมีร้านอาหารทะเลให้เลือกแวะรับประทาน เมนูห้ามพลาดคือหอยนางรมสูตรพิเศษ
พักค้างคืนที่เซนไดแล้วเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการไปทานขนมไทยากิใกล้ ๆ กับสถานีเซนได ที่ทำจาก “ซุนดะโมจิ” ของขึ้นชื่อประจำจังหวัดมิยางิ เมื่อกัดลงไปจะได้ความกรอบของแป้ง กลิ่นหอม ๆ และรสชาติหวานละมุนที่อัดแน่นเต็มคำจากไส้โมจิกับถั่วแระบดผสมกัน ทานเสร็จไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ถนนโจเซ็นจิ (จุดที่ 2)
“ถนนโจเซ็นจิ” เป็นถนนสายหลักที่รายล้อมด้วยร้านค้ามากมาย มีจุดเด่นเป็นต้นเซลโควาญี่ปุ่นที่ทอดยาวออกไปถึง 700 เมตร นอกจากถ่ายรูปที่ถนนโจเซ็นจิแล้วเรายังสามารถเดินชอปปิงยาว ๆ ได้ที่ถนนคลิสโร้ด และแหล่งซื้อของฝากชื่อดังของเซนได S-PAL SENDAI ศูนย์การค้าที่เชื่อมต่อกับสถานีเซนได
ออกไปที่จังหวัดอิวาเตะที่มีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีหลายแห่ง เริ่มด้วย “ช่องเขาเกบิเค” (จุดที่ 3) ช่องเขาหินขนาดใหญ่ที่เราสามารถเพลิดเพลินไปกับเสน่ห์ของทิวทัศน์ใบไม้เปลี่ยนสีและแม่น้ำได้ในคราวเดียว โดยที่นี่เป็นแห่งเดียวในญี่ปุ่นที่ใช้เรือถ่อด้วยไม้พายเพียงเล่มเดียวโดยไม่ใช้เครื่องยนต์ มีคนพายเรือร้องเพลงพื้นบ้านคลอไปตลอดทาง พร้อมฟังประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี
นั่งรถไฟโทโฮคุชินคันเซ็น จากสถานีเซนไดมาลงที่สถานีอิชิโนะเซกิ จากนั้นเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสายโอฟุนาโตะ ที่สถานีอิชิโนะเซกิ แล้วลงที่สถานีเกบิเค เดินอีก 7 นาที
ล่องเรือเสร็จแล้วก็ไปกันต่อที่ “สวนสาธารณะซากปราสาทโมริโอกะ” (จุดที่ 4) ปัจจุบันปราสาทได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของประเทศ และติด 1 ใน 100 อันดับปราสาทชื่อดังของญี่ปุ่น ยามที่สีแดงของฤดูใบไม้ร่วงตัดกับสีกำแพงหินเป็นทัศนียภาพที่น่าดูชม เดินทางจากสถานีอิชิโนะเซกิ ให้ขึ้นรถไฟโทโฮคุชินคันเซ็นมาลงที่สถานีโมริโอกะ (ประมาณ 40 นาที) จากนั้นขึ้นรถบัสหมุนเวียนใจกลางเมืองโมริโอกะ “เดนเดนมุชิ” มาลงที่ป้ายสวนสาธารณะซากปราสาทโมริโอกะ (ประมาณ 6 นาที) แล้วเดินอีก 1 นาที
เปลี่ยนบรรยากาศไปสัมผัสกับเทศกาลเนบุตะที่ “Nebuta Museum WA-RASSE” ในจังหวัดอาโอโอโมริ แหล่งรวบรวมโคมไฟที่นำไปใช้ในขบวนแห่จริงจัดแสดงอยู่ โดยขึ้นรถไฟโทโฮคุชินคันเซ็น จากสถานีโมริโอกะ และลงที่สถานีชินอาโอโมริ (ประมาณ 1 ชั่วโมง) จากนั้นเปลี่ยนเป็นสายหลักโออุ และลงที่สถานีอาโอโมริ (ประมาณ 6 นาที) เดินจากสถานีอาโอโมริ (ประมาณ 1 นาที)
แล้วค่อยออกไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ “ปราสาทฮิโรซากิ” (จุดที่ 5) ปราสาทที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยใบไม้สีแดงสลับส้ม มีธารน้ำใสเล็ก ๆ มาเติมเต็มบรรยากาศโดยรอบให้สมบูรณ์ และที่พลาดไม่ได้เลยคืองานประดับไฟในช่วงปลายเดือนตุลาคม ซึ่งจะทำให้ทัศนียภาพตรงหน้าตระการตายิ่งกว่าเดิม
จากสถานีอาโอโมริ ให้ขึ้นรถไฟสายหลักโออุ และลงที่สถานีฮิโรซากิ (ประมาณ 47 นาที) จากสถานีฮิโรซากิให้ขึ้นรถบัสท่องเที่ยวภายในเมืองฮิโรซากิ 100 เยน แล้วลงที่ป้ายชิยาคุโชมาเอะ (ประมาณ 15 นาที) เดินประมาณ 4 นาที
ปิดท้ายด้วย “ภูเขาฮักโกดะ” (จุดที่ 6) จุดชมใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยม และเป็น 1 ใน 100 ภูเขาที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น กลุ่มภูเขาไฟที่ตั้งอยู่ใจกลางจังหวัดกับทิวทัศน์แบบพาโนรามา 360 องศาที่มองออกมาจากกระเช้าลอยฟ้าฮักโกดะ ว่ากันว่าวันที่สภาพอากาศแจ่มใสเราจะสามารถมองได้ไกลไปจนถึงจังหวัดฮอกไกโด
จากสถานีอาโอโมริ ให้ขึ้นรถบัส JR สาย Towada Kita และลงที่สถานี Ropeway (ประมาณ 1 ชั่วโมง) หลังจากชมวิวด้านบนเสร็จแล้วเดินทางกลับโตเกียว จากสถานีอาโอโมริ นั่งรถไฟสายหลักโออุ กลับไปที่สถานีชิน อาโอโมริ (ประมาณ 5 นาที) จากนั้นนั่งรถไฟโทโฮคุชินคันเซ็นฮายาบุสะ ไปยังสถานีโตเกียว (เร็วที่สุด 2 ชั่วโมง 58 นาที).