เรียกว่าเป็นกระแสที่กลายเป็นไวรัลอย่างมากอยู่ในขณะนี้ หลังเมื่อวันที่ 11 ต.ค. 67 มีผู้ใช้เฟซบุ๊ก “เหยื่อ V.2” ได้โพสต์ข้อความวิเคราะห์แผนธุรกิจ “พอล-วรัตน์พล วรัทย์วรกุล” ทำอย่างไรทำไมถึงรวยระดับ 1,000 ล้าน
โดยเพจเหยื่อ V.2 ระบุข้อความว่า “พอล” คือ ชื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นก็ค้าขายของที่บ้าน จนกระทั่งยุคที่ Facebook Ads เริ่มให้บริการ ตอนนั้นคนยังไม่สนใจการยิงแอด ค่าแอดในการทำโฆษณา เพราะต้นทุนต่อค่าโฆษณาอยู่ที่คลิกละ 5 สตางค์ หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินให้เกิดการคลิกเข้ามา 20 ครั้ง เสียเงินแค่ 1 บาท ดังนั้น ถ้าใครอยู่ในยุคตื่นแอดช่วงแรก เรียกว่ากอบโกยชนิดที่ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดิน กันได้เลยจริงๆ
ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. 2556 คือ ยุคเริ่มต้นเมื่อเฟซบุ๊กประกาศให้มีการแสดงโฆษณาได้บนประเทศไทย “พอล” จึงหัดยิงแอดออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองจนชำนาญ จึงเกิดเป็นพอล ผู้ทำการตลาดออนไลน์เก่งมาก จะเท้าความให้อ่าน จะได้รู้ว่าทำไมพอลถึงเก่ง เราจะพาเพื่อนๆ และแฟนเพจ นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวของเขากัน ผู้ที่ปั้นพอลให้เก่งอย่างทุกวันนี้ เขามีชื่อว่า “คุณธเนตร” การกล่าวถึงคนนี้ “เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดอะไรนะ” เขาเป็นนักการตลาดที่เก่งที่สุดในไทยระดับต้น
นอกจากนี้ การตลาดยุคนั้นมีกฎห้ามนำสินค้ามาโพสต์ขายออนไลน์ เพื่อเลี่ยงการตัดราคาและเลี่ยงการที่สมาชิกไม่ซื้อสินค้าผ่านบริษัทโดยตรง เรียกว่าใครโพสต์ขายหรือชวนคนออนไลน์ จะโดนตัดรหัสทิ้งทันที เพราะเป็นการทำผิดกฏบริษัท แต่ก็มีนักการตลาดชาวมาเลเซียคนหนึ่ง ได้ไปดีลกับบริษัทแห่งหนึ่ง ว่าจะขอพัฒนาระบบชวนคนออนไลน์ โดยให้เหตุผลว่าจะสามารถทำสปอนเซอร์ข้ามประเทศได้ และจะทำให้มีสมาชิกทั่วโลกได้ จึงเกิดเป็นระบบชวนคนออนไลน์ ตอนนั้นแค่ชวนสมัครสมาชิกนะ การสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงสั่งผ่านหน้าเว็บไซต์หนึ่ง อย่างไม่มีอะไรซับซ้อน
เมื่อ “คุณธเนตร” ได้เรียนรู้ระบบชวนคนออนไลน์ แล้วประจวบกับการที่พอลมาสมัครเป็น Downline ของคุณธเนตร คนหนึ่งเก่งเรื่องสคริปต์ชวนคน และคนหนึ่งเก่งเรื่องยิงแอด ทีนี้แหละความรวยจึงบังเกิด เกิดเป็นยอดขายพันล้านของ “คุณธเนตร” เกิดยอดขายร้อยล้านของพอล จนทั้งสองคนได้ไปออกรายการต่างๆพอลได้ไปออกรายการตีสิบ จนได้นามสกุลมาต่อท้ายชื่อว่า “พอล ตีสิบ” ใครๆ ก็เรียกเขาแบบนั้น พอลได้เรียนรู้กลยุทธการทำการตลาดจากธเนตร จนแตกฉาน ก็แยกตัวออกมาจาก “ธเนตร” มาตั้งบริษัทและทำแบรนด์ชื่อว่า “The Icon“
โดยช่วงแรกทำสินค้าพวกกาแฟ และคอลลาเจน เพราะสองอย่างนี้พอลศึกษาแล้วว่า เป็นสินค้าที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย โดยพอลได้วางระบบชวนคน โดยให้ผลตอบแทนเป็นการ “เที่ยวฟรี” และทำโปรโมชั่นเปิดบิลสมัครสมาชิก “เที่ยวฟรี” โดยจัดการเที่ยวเน้นไปที่ทะเล และพัทยา เพราะดีลค่าโรงแรมได้ถูก โดยมีการจองห้องประชุมไว้ทำสัมมนา
ลูกค้าของพอลช่วงแรก เขามุ่งเน้นไปที่คนอยากเที่ยว และอยากมีเพื่อนฝูงไปด้วย คือ คนที่เกษียณแล้ว หรือคนแก่นั่นเอง ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวกินฟรี (ค่าเดินทางออกเอง) โดยการเปิดบิลซื้อสินค้า ช่วงแรกจะมีระดับไม่เยอะ จะมีแบบเปิดคนเดียว เที่ยวคนเดียว และเปิดมากหน่อย ชวนเพื่อนมาเที่ยวได้ฟรี 1 คน 2 คน 3 คน ไล่ไปเรื่อยๆ และด้วยหลักการนี้เอง คนแก่จึงตอบรับข้อเสนอของเขาง่าย เพราะนอกจากจะได้สินค้ามากิน และใช้แล้วก็ยังได้เที่ยวฟรี และคนแก่ส่วนมากมักจะไม่อยากไปเที่ยวคนเดียว จึงเปิดบิลที่ชวนเพื่อนได้ 2 คนขึ้นไป และก็เป็นการชวนเพื่อนมาเที่ยวฟรี คือ ชวนเพื่อนไปเที่ยวทะเล หลังกินอาหารเช้าแล้ว วันถัดมาก็จะเป็นอีเวนต์กลางคืน ได้พบกับคนดังที่ออกโทรทัศน์ คือ “บอสพอล ตีสิบ” โดยพอลจะมาหลังจากทุกคนถึงแล้ว 1 วันเสมอ
เพื่อมาปรากฏตัวบนเวที แล้วก็จะขอบคุณสมาชิกทุกคนที่มาเที่ยว รวมไปถึงชักชวนให้คนที่มาเที่ยวกับเพื่อน สมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าและสามารถชวนเพื่อนในทริปหน้ากันได้อีก วิธีนี้ทำให้ปีแรกบริษัทของพอลมีกำไรเติบโตทันทีพอล เริ่มซื้อรถซูเปอร์คาร์ เพื่อเริ่มเข้าสู่ “โหมดความรวย”เพื่อวางแผนไปหาลูกค้าที่มีความฝัน พอลเปลี่ยนการตลาดจากคนแก่ มาเจาะคนที่อยากเกษียณก่อนกำหนด คือ เป้าหมายพวกอายุ 35 ขึ้นไป ที่ฝันอยากมีรถหรู กระเป๋าแบรนด์เนมเหมือนคนอื่น พอลใช้คอร์สสอนออนไลน์สอนการทำตลาดขายของ ซึ่งยุคนั้นค่าโฆษณายังไม่แพง แต่ก็เริ่มขยับจากระดับ 10 สตางค์ มาเป็นคลิกละ 50 สตางค์แล้ว แต่มันก็ยังได้ผลอยู่ เพราะจ่ายค่าโฆษณาไป 1,000 บาท ก็สามารถชวนคนได้ถึง 2000 คลิก ตีไปว่าสนใจ 1% ก็ยังมีคนทักมา 20 คน คอร์สก็เป็นการเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แค่ทุกคนแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองมา ก็สามารถตั้งโฆษณาได้เลย ทุกคนจะตั้งโฆษณาขายสินค้าและชวนคนเข้าทีม ซึ่งตั้งไว้ที่ 89 บาท 89 บาท คือ ค่าเฉลี่ยที่คำนวณแล้วว่าใช้เทคนิค (Other People Money) แบบนี้ตัวเองก็ไม่ต้องยิงแอดเองแล้ว
จากเดิมตอนชวนคนแก่ต้องยิงแอดเอง และสอนทีมงาน มาคราวนี้พอลได้พัฒนาระบบการสอน เริ่มมีการตั้งแม่ทีมเพื่อศึกษาวิธีการสอนให้เป็นครู โดยทุกคนก็เอา 89 บาท ค่าเรียนใส่เข้าไปในโฆษณา เท่ากับ พอลก็จะได้ Facebook Ads Account มหาศาลโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาสมัคร และไม่ต้องกลัวโดนแบนโฆษณา เพราะถึงโดนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องเหนื่อยลงไปควบคุมเองแล้วด้วยแผนการตลาดแบบใหม่ ทำให้พอลเติบโตแบบก้าวกระโดด ยอดขายพุ่งไปหลายร้อยล้านทันที เพราะมีการวางเกมเรื่องเปิดบิลไว้แล้ว อย่างที่เห็นในข่าว คนมาอย่างน้อยก็ต้องเสียค่าสมัคร member หลัก 2,000-5,000 บาท และถ้าแม่ทีมเก่งก็จะต้อนให้ไปเปิดบิลดีลเลอร์ได้เลย 250,000 เพื่อให้เที่ยวฟรีได้เกือบ 10 ครั้ง
แถมยังได้โควตาชวนคนมาเที่ยวด้วย เรียกว่าโปรโมชั่นกันแบบจุกๆ เพื่อทำให้คนได้เห็นว่ามาเรียนที่นี่ นอกจากจะขายได้แล้ว ยังได้เที่ยวด้วย ทำให้เกิดกระแสบูมไปที่ “The Icon” และด้วยการที่พอลศึกษาข้อกฎหมายกับทนายส่วนตัวมาเป็นอย่างดี รวมถึงได้ความรู้จากอาจารย์ตัวเองมา เขาจึงเรียกระบบของบริษัทตัวเองว่าระบบตัวแทน เพื่อให้คนไม่รู้สึกต่อต้านกับสิ่งที่เขาทำ และพอลได้ขออนุญาตการทำการตลาด ที่เรียกว่าตลาดขายตรงไว้แล้ว บริษัทจึงสามารถดำเนินการได้ โดยไม่มีความผิด และด้วยเทคนิคนี้ทำให้พอล ก้าวเข้าสู่ยอดขายหลายร้อยล้านได้อย่างง่ายดาย
ยุคทองของบอสพอล The Icon เมื่อโควิดหมดไปประเทศเปิด คนก็เริ่มหางานทำจึงเกิดเป็นยอดขาย 4,949,496,994 มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาทเศษในปี พ.ศ. 2564 เพราะคนแห่มาทำออนไลน์กัน เนื่องจากยังคงกลัวโควิดอยู่ แต่ก็ต้องทำมาหากินแล้ว ทีนี้ก็แบกตัวเองมาเรียน เพราะอยากมีอาชีพมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว แต่พอมาเรียนแล้วได้เจอกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เจอคนขับรถสปอร์ต และใส่แบรนด์เนม จึงมีความคิดที่อยากจะมีอาชีพที่มีแค่รายได้มาจุนเจือครอบครัว อยากสำเร็จ อยากรวย เพราะเห็นจากภาพความสำเร็จของระบบที่พอลได้ออกแบบเอาไว้ The Icon บูมสุดๆก่อให้เกิดกระแสหลั่งไหลเข้ามาเรียนมากขึ้น ชวนกันมากขึ้น เปิดบิลกันมากขึ้น เที่ยวกันให้สะใจ ทีมงานบอสพอลโพสต์ภาพการกินเที่ยวเต็มโซเชียล ภาพถ่ายเหล่านั้นมันดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใส
สำหรับทุกคนจริงๆ ดึงดูดคนให้เข้าเรียนเพิ่มขึ้นแต่พอคนมาเยอะ เมื่อคนขายมากกว่าคนซื้อและทุกคนแห่กันไปโฆษณาบนเฟซบุ๊ก ค่าโฆษณาพุ่งกระฉูดเพราะทุกคนก็ต้องการ Placement บน Platform ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะ Bid ราคากันแบบ Auto ทีนี้ AI ของ Facebook ก็ลากราคาต่อคลิกไปสูงถึง 10 บาท ทีนี้เริ่มไม่มีกำไรละ หลายคนเริ่มเจ๊ง หลายคนสต๊อกเริ่มล้น สินค้าติดมือหลายคนเริ่มสู้กับค่าโฆษณาไม่ไหว เพราะยิงแอดไปซ้ำกับคนเดิม ระบบชวนคนทุกบริษัทมันมีข้อเสียตรงนี้ คือทำไปสักพักจะมีรหัสซ้ำ คำว่ารหัสซ้ำ แปลง่ายๆ ก็คือทักไปหาคนที่เป็นสมาชิกของ The Icon อยู่แล้ว
ดังนั้น การชวนคนจึงไม่ง่ายเหมือนเดิม เริ่มเจอหน้าซ้ำ เริ่มเจอคนระดับรากหญ้า เป็นแม่ค้าผักบ้าง เป็น รปภ.บ้าง ทำให้ยอดขายปีถัดมาตกลงเหลือ 3 พันกว่าล้าน พอลต้องการต่ออายุธุรกิจของตัวเองให้เดินหน้าต่อ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า จึงเริ่มหาคนมาช่วยพยุงธุรกิจ คือ ดารา และดาราคนแรก คือ “กันต์” ซึ่งแรกๆ กันต์ไม่ได้เข้ามาในฐานะพรีเซ็นเตอร์ เข้ามาก่อนแต่มายืนถือสินค้าชิ้นแรกหลังพวกดาราคนอื่น เพราะเพื่อส่งเสริมให้บริษัทมันดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น พอลจึงแต่งตั้งกันต์ให้เป็น “CMO” เพราะจะได้การันตีว่าบริษัทสะอาดโปร่งใส เห็นไหมว่า พิธีกรระดับประเทศยังมาทำงานร่วมกับฉันเลย กันต์และดาราอีกขโยงหนึ่ง ทำให้ใครๆ ก็เชื่อมั่นใน The Icon ชวนเปิดบิลหลักแสน เพราะมีดาราการันตี มีดาราพารวย แน่นอนว่าช่วงนี้ค่าโฆษณาแพงแล้วนะ แต่มีดารามาการันตี แล้วกำไรมีไหม ก็มีระดับปริ่มๆ แต่บางคนก็เริ่มเจ๊งตั้งแต่เริ่มทำ
ดังที่กล่าวมาข้างบน จะเห็นได้ว่าไม่สามารถตั้งข้อกล่าวหา ให้เอาผิดพอลในชั้นศาลในฐานแชร์ลูกโซ่ได้เลย จะตั้งข้อกล่าวหาพอลยังยาก เพราะเคสแบบนี้มันต้องเริ่มที่ “สคบ.” ก่อนเลย แต่ด้วยเหตุผลของกฎหมาย สคบ. ก็จะตีความว่า การขายสินค้าของพอล “ไม่ได้ขายต่อไปยังมือผู้บริโภคโดยตรง แต่จำหน่ายไปที่ตัวแทน” และตัวแทนไม่ใช่ผู้บริโภค สคบ. จึงไม่มีอำนาจ หรือเคยมีผู้บริโภคได้รับสินค้าจากมือบอสพอลโดยตรงบ้างไหม ถ้าไม่มีก็ตรงตามที่ สคบ. ตีความเอาไว้นั่นแหละ จึงทำให้ทุกคนที่เคยร้องเรียนไปยัง สคบ. ได้รับคำตอบกลับมาเหมือนกันหมดคือ สคบ. ทำอะไรไม่ได้ เพราะพอลได้ศึกษาข้อกฎหมายเอาไว้แล้ว ดังนั้น เขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ยกเว้นการการันตีว่าแอดต้องปังและสินค้ามีคุณภาพ
ตรงจุดนี้คือ กุญแจดอกเดียวที่จะไขเข้าไปถึงตัวพอลได้นั่นคือ สินค้าไม่ตรงปก พอลเริ่มปรับแผนการตลาด ตั้งสำนักงานใหม่ มีรถหรูจอดที่ด้านหน้า เพื่อให้คนมาถ่ายกับรถ แล้วไปโพสต์และยิงโฆษณาแทนตนเอง เริ่มให้คนสร้างภาพว่าทำแล้วรวย แทนที่จะกลายเป็นเที่ยว “ไม่เอาแล้ว” แล้วก็คงคอนเซปต์ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย แต่เมื่อคนเริ่มรู้ค่าโฆษณาแพง การจะชวนไปต่อในระดับลึกๆ ทำได้ยาก หลายคนจึงยอมเจ็บแค่นี้ แล้วถอยออกมาหาเงินทางอื่นมาใช้หนี้ ทำให้ปีถัดมายอดขายตกเหลือ 1,800 ล้าน หายไปเกือบ 40% ทีนี้บอสพอลก็คงทำได้แค่ยื้อเวลาของธุรกิจตัวเองต่อไป โดยการจ้างดารามามากขึ้น ผลิตสินค้าออกมามากขึ้น แม่ทีมเริ่มสถาปนาตัวเองเป็นโค้ช เก่งระดับประเทศกันทุกคน ทุกคนขับรถสปอร์ตกันหมดเลย “แล้วรถของใคร” ก็รถของบอสพอลแทบทุกคันเลยแหละ
การตลาดจึงกลายเป็นการหลอกลวงผู้คนด้วยโปรไฟล์ เพราะรถก็ไม่ใช่ของตัวเอง เพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าทำธุรกิจร่วมกับ The Icon แล้วรวย บอสพอลก็ทราบดีเลยนะว่า ทำแบบนี้มันคือการหลอกลวง แต่พอลก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดอะไรขึ้นคนที่จะรับกรรมก็แม่ทีมไง ไม่ใช่ตัวเองพอล จนมาถึงปัจจุบันที่ทุกคนโหวกเหวกโวยวาย สิ่งที่ควรตระหนักคิด คือ การยิงแอดขายของออนไลน์มันตายไป 3 ปีแล้ว คือหลังปี 2564 ไม่มีใครยิงแอดในระบบตัวแทน ไม่ว่าบริษัทไหนแล้วอยู่รอดสักราย นี่คือความจริงไม่ได้พูดถึงแค่ The Icon เราขอพูดถึงทุกบริษัท ทุกสินค้าเลย เหตุผลก็คือค่าโฆษณามันแพงกว่า
ดังนั้น คนที่จะอยู่ได้คือ “เจ้าของสินค้าเท่านั้น” ผลิตเอง ยิงเอง โปรโมตเอง ถึงจะอยู่รอด ระบบตัวแทน ระบบออนไลน์มันตายไปตั้งแต่ปี 2564 แล้ว หลายคนจึงไปยิง Tiktok แล้วอีกไม่นานพวกคุณก็จะอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละ เพราะจะลูปเดิมเหมือนกับ Platform อื่นๆ เพราะค่าโฆษณาบน Platform เมื่อแพงแล้วมันจะไม่มีวันลดลง นี่คือกฎแห่งการตลาดง่ายๆ บอสพอลถึงไปเลือกพี่โดมยุค 90 มาหาลูกค้าระดับแก่ เลือกมิน มาหาลูกค้าระดับ 30 ขึ้นไป ทุกคนก็มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ พี่แซมก็เช่นกัน เป็นถึงดารานักการเมืองยังลงมาทำธุรกิจนี้เลย ความน่าเชื่อถือแบบนี้พอลซื้อและยื้อมันไปเรื่อยๆ ตลอด 3 ปี ที่ผ่านมาบริษัท the icon ใช้วิธีไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทริปท่องเที่ยวแทน แล้วถ้าใครไม่อยากไปเที่ยว สามารถขายสิทธิไปเที่ยว แลกเป็นเงินกลับไปได้ จึงเลี่ยงการจ่ายค่าคอมไปได้เยอะ เพราะไปฟันกำไรตอนจัดทริปทัวร์ หรือได้พักตากอากาศที่โรงแรม 3-4 ดาว
ส่วนสินค้าขายไม่ออกแกะกินให้หมด สินค้าที่บอกว่าสต๊อกไว้ในโกดัง 100% เวลาพวกคุณไปเบิกจริงๆ จะเบิกไม่ได้ 100% นะ เพราะมันจะเป็น Dropship คือ ต้องขายได้บริษัทถึงจะส่งให้ ไม่เน้นให้เบิกกลับไปเก็บที่บ้าน เพราะเปิดบิลดีลเลอร์ต้องรอรอบผลิตของ 2 เดือนเป็นต้นไป กว่าจะได้ของครบต้องรอไปเรื่อยๆจนกว่าของจะเข้า ธุรกิจนี้ไม่มีใครผลิตของมากองไว้ให้หมดอายุ ได้ออร์เดอร์ค่อยสั่งผลิต เลยทำให้มีช่องว่างให้บอสพอลเอาเงินไปหมุนได้
ดังนั้นบทสรุปของธุรกิจ The Icon เราจะขอบอกให้ชื่นใจดังนี้
1. พอลคนเดียวที่รวยและรอด เพราะว่าพอลส่งภาษีเที่ยงตรง 100% เพราะพอลเรียนรู้จากคุณธเนตร ว่าเรื่องนี้ห้ามพลาด
2. คอร์สขายออนไลน์เรียนราคาถูก ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายพวกคุณจะโดน up sale จะไปเรียนคอร์สระดับ Advance ต้องเป็น Member จะร่ำรวยเงินล้านต้องทุ่ม Dealer
3. โฆษณาของทุกคนปังหมด เพราะมีแม่ทีมที่มี Facebook Account อวตารคอยไปคอมเมนต์สั่งซื้อ แต่มีการซื้อจริงไม่ถึง 20% เพราะตอนการันตี การันตีว่าแอดจะปัง แต่คุณปิดการขายไม่ได้ เพราะคุณสนทนาขายให้กับแอคผี จะไปมียอดซื้อได้ไง พอคุณปิดไม่ได้ทีนี้ความซวยก็เกิดที่ตัวคุณเอง พวก Downline ทั้งหลายก็รับกรรมไป หลายคนโดนหลอกว่า จะต้องเปิดหลายสาขาเลย ลงเป็นล้าน
4. ไม่อยากตายอย่าเข้าไปทำ หนีได้หนีไป หนีให้สุดชีวิต จะเห็นแต่แม่ทีมที่เป็นคนผิด ดังนั้น บทจบของละครเรื่องนี้ก็จะไปลงกับแม่ทีมทั้งหลายที่ออกมาเซฟบอสพอลกัน
อย่างไรก็ตาม จะเขียนลงลึกให้อ่านว่าทำไมกฎหมายถึงจะเอื้อมไปไม่ถึงบอสพอล เดี๋ยวคอยดูดาราที่เคยไปร่วมวงต่างก็จะออกมายืนยันว่าบริษัทถูกกฎหมาย 100% ซึ่งมันก็เป็นความจริงนะ แต่มันเป็นความจริงตามที่กฎหมายตราเอาไว้ว่า ทำแบบพอลนั้นไม่ผิด แต่ทางธรรม พอลจะผิดในผิดซ้อนผิดเจตนาทำผิด นี่แค่บริษัทแรกนะ ยังมีต่อคิวอีก 4 บริษัท ที่อ่านเรื่องราวแล้วพวกคุณจะอึ้ง
ขอบคุณข้อมูล : เหยื่อ V.2 และpaultheicon