การทำไร่ยาสูบเป็นเกษตรกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งมีพื้นที่การเพาะปลูกในกว่า 30 ประเทศทั่วโลก รวมถึงอาร์เจนตินา บราซิล จีน กรีซ อิตาลี มาลาวี โมซัมบิก สเปน แทนซาเนีย ตุรกี และสหรัฐอเมริกา ในปี 2022 มีการปลูกยาสูบประมาณ 5.8 ล้านตันทั่วโลก โดยประมาณ 1 ใน 3 ของการผลผลิตใบยาสูบมาจากประเทศจีน ตามมาด้วยอินเดีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตใบยาสูบเป็นอันดับสองของโลก ขณะที่อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการสูบบุหรี่สูงที่สุดก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการปลูกยาสูบเป็นจำนวนมาก สหรัฐอเมริกาและซิมบับเว ก็ถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีการปลูกยาสูบเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเช่นเดียวกัน

ความต้องการใบยาสูบที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้การปลูกใบยาสูบทั่วโลกมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะจีนและแทนซาเนียที่มีการปลูกยาสูบเพิ่มขึ้น ทำให้แทนซาเนียกลายเป็นผู้ผลิตสำคัญในแอฟริการองจากซิมบับเว ในทางกลับกัน บราซิลซึ่งกำลังเผชิญปัญหาผลผลิตลดลงราว 14% ในฤดูกาล 2023-2024 เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ส่งผลให้คุณภาพและปริมาณยาสูบลดลง เช่นเดียวกับซิมบับเวซึ่งปริมาณการผลิตลดลงเนื่องจากภัยแล้ง แต่เกษตรกรยาสูบในบางประเทศ เช่น มาลาวี และซิมบับเว ก็ยังคงได้รับประโยชน์จากราคาใบยาที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในมาลาวีที่ราคารับซื้อใบยาสูบเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยจาก 2.14 เหรียญสหรัฐ เป็น 2.35 เหรียญสหรัฐต่อกิโลกรัมในปี 2023

สำหรับในประเทศไทย การทำไร่ยาสูบมีประวัติมายาวนานกว่า 70 ปี ในอดีตยาสูบทั้งสามสายพันธุ์ ได้แก่ เวอร์จิเนีย เบอร์เลย์ และโอเรียนเต็ล ถือเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่ทำรายได้ให้กับเกษตรกรในภาคเหนือ ภาคกลางตอนบน (เพชรบูรณ์และสุโขทัย) และภาคอีสาน ก่อนปี 2560 ประเทศเคยมีชาวไร่ยาสูบมากกว่า 5 หมื่นครอบครัว มีปริมาณผลผลิตใบยาสูบรวมกันกว่า 49 ล้าน กิโลกรัมสำหรับการส่งออกไปต่างประเทศและส่งเข้าโรงงานผลิตภายในประเทศ ซึ่งการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ผลิตบุหรี่ซิกาแรตแต่เพียงรายเดียวในประเทศไทย

ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา การทำไร่และพื้นที่ปลูกยาสูบของชาวไร่ยาสูบไทยลดลงราว 50% อันเป็นผลจากปัจจัยหลายด้าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัจจัยด้านนโยบายภาครัฐที่ไม่อาจควบคุมได้ ส่งผลให้จำนวนชาวไร่ยาสูบก็ลดลงเหลือประมาณ 2.2 หมื่นครอบครัว ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 5 หมื่นไร่ และมีผลผลิตราว 21.8 ล้านกิโลกรัมต่อปี

แม้ความต้องการใบยาสูบในระดับโลกจะเพิ่มขึ้น แต่การปลูกยาสูบและราคาใบยาของไทยยังคงพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศและการผลิตของ ยสท. เป็นสำคัญ ทำให้การทำไร่ยาสูบยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายภายในประเทศทั้งจากกระแสต่อต้านจากสังคมที่ไม่สนับสนุนการสูบบุหรี่เนื่องจากผลกระทบต่อสุขภาพ รัฐบาลจึงมีนโยบายในการควบคุมการบริโภคบุหรี่ เช่นการขึ้นภาษีบุหรี่อย่างต่อเนื่อง 2 ครั้งภายในช่วงระยะเวลาเพียง 6 ปี ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายของ ยสท. ซึ่งเป็นผู้รับซื้อใบยาจากชาวไร่ไทย ทำให้ชาวไร่ต้องโดนลดโควตารับซื้อใบยาลงเฉลี่ย 50-60% เป็นระยะเวลา 5 ปีติดต่อกัน รายได้ในท้องถิ่นพื้นที่ยาสูบจึงหายไปรวมๆ กันกว่าปีละ 900 ล้านบาท แม้ปัจจุบัน ชาวไร่จะได้รับโควตาคืนมา และมีการปรับขึ้นราคารับซื้อไปเมื่อปีที่ผ่านมา แต่ก็เป็นการช่วยเหลือครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี และไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ชาวไร่ยาสูบกำลังเผชิญอยู่ ทั้งค่าน้ำมัน ค่าปุ๋ย ค่าไฟฟ้าและค่าแรงงาน แม้ในต่างประเทศจะมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้การปลูกยาสูบมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่กระบวนการทำยาสูบในประเทศไทยยังต้องอาศัยการใช้แรงงานและความชำนาญเฉพาะด้าน ชาวไร่ส่วนใหญ่มีอายุมากขึ้น ทำให้ต้องจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นและส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย แต่ราคารับซื้อใบยาของชาวไร่ยาสูบกลับแทบไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มขึ้นเลยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา สวนทางกับต้นทุนของชาวไร่ที่เพิ่มขึ้น

อีกหนึ่งความท้าทายล่าสุดคือ การเพิ่มขึ้นของบุหรี่เถื่อนและบุหรี่ไฟฟ้าที่เป็นสินค้าผิดกฎหมายในประเทศไทย ปัจจุบันการบริโภคบุหรี่เถื่อนคิดเป็นสัดส่วนถึง 25% ของการบริโภคบุหรี่ภายในประเทศ ซึ่งสัดส่วนบุหรี่เถื่อนนี้ คิดเป็นปริมาณใบยาสูบถึง 7 ล้านกิโลกรัม ซึ่งเท่ากับรายได้จากการขายใบยาของชาวไร่หายไปจากระบบกว่า 700 ล้านบาท อีกทั้งการใช้บุหรี่ไฟฟ้ายังเพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านกว่าคน การแบนบุหรี่ไฟฟ้ายังส่งผลให้เกษตรกรไม่มีโอกาสพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับแนวโน้มตลาดใหม่ ๆ ได้ และการเติบโตของสินค้าทดแทนบุหรี่เหล่านี้ส่งผลให้ยอดขายบุหรี่ของ ยสท. และความต้องการใบยาสูบในประเทศลดลงอย่างมาก

การช่วยเหลือชาวไร่ยาสูบ ซึ่งถือเป็นกลุ่มเกษตรที่สร้างรายได้ให้กับภาครัฐ ผ่านภาษีสรรพสามิตและภาษีอื่นๆ เช่นภาษีเพื่อมหาดไทย ภาษี อบจ. รวมกว่า 6 หมื่นล้านบาทต่อปี จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องสั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แก้ปัญหาอย่างจริงจัง โดยกรมสรรพสามิตต้องเร่งแก้ไขโครงสร้างภาษีให้เป็นไปตามแนวทางสากล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการการเก็บภาษียาสูบ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหาร กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต หรือแม้กระทั่งกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ต้องเพิ่มความเข้มงวดในการปราบปรามบุหรี่เถื่อน สกัดกั้นการลักลอบนำบุหรี่เถื่อนผ่านแดนจากประเทศเพื่อนบ้านและการกระจายบุหรี่เถื่อนในทุกช่องทาง เพื่อช่วยเกษตรกรชาวไร่ยาสูบที่เป็นต้นน้ำ

รวมทั้งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างในการลักลอบนำสินค้าเกษตรไม่เพียงแต่ยาสูบเข้ามาในประเทศ ปัญหาหมูเถื่อน หอม กระเทียมและพืชผลการเกษตรอื่นๆ ที่ถูกลักลอบนำเข้ามาล้วนแต่เป็นศัตรูของเกษตรกรไทยเช่นกัน ถึงเวลาที่รัฐบาลอาจต้องพิจารณาออกพระราชบัญญัติต่อต้านการลักลอบการนำสินค้าเกษตรเข้าสู่ประเทศ และใช้เครื่องมือทางกฎหมายลงโทษผู้กระทำผิดอย่างรุนแรงเพื่อปกป้องพี่น้องเกษตรกรของไทยเพราะทุกข์ของชาวไร่คือทุกข์ของแผ่นดิน