เมื่อวันที่ 7 พ.ย. นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนเป็นสำคัญ เพราะรัฐบาลตระหนักว่าประชาชนมีภาระหนี้สิน ดังนั้นที่ผ่านมาจึงมีการหารือถึงมาตรการแก้ปัญหาให้ประชาชนในทุกมิติ ล่าสุด กระทรวงการคลังหารือร่วมกับสมาคมธนาคารไทย เรื่องมาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน หลักคิดของโครงการแก้หนี้คือ ต้องการช่วยให้ลูกหนี้สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ รวมถึงผู้ประกอบการ SMEs ที่ผ่อนชำระหนี้บ้านและหนี้รถไม่ไหว สามารถผ่อนต่อได้ ป้องกันไม่ให้เป็นหนี้จนถูกยึดบ้านและรถซึ่งเป็นทรัพย์สินใช้หาเลี้ยงชีพ
นายสงคราม กล่าวต่อว่า หากมาตรการดังกล่าวประกาศใช้จะสามารถลดภาระหนี้ให้กับประชาชนตามไปด้วย ทั้งนี้คนไทยหลายคนที่ผ่อนบ้านกับธนาคารในแต่ละที่เดือนจ่ายค่าผ่อนบ้าน จะพบว่าอัตราดอกเบี้ยแซงหน้าเงินต้นไปมาก บางคนจ่ายผ่อนบ้านในอัตรา 12,000 บาทต่อเดือน เป็นเงินต้น 2,000 บาทที่เหลือถูกคิดเป็นดอกเบี้ยสูงถึง 10,000 บาท หากเป็นเช่นนี้กี่ปีคนไทยถึงจะมีบ้านเป็นของตนเอง นอกจากนี้รัฐบาลเตรียมหามาตรการในการช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนส่งผลให้มีสภาพคล่องมากขึ้น มั่นใจว่ามาตรการที่รัฐบาลเตรียมเป็นของขวัญปีใหม่ในปี 2568 รวมทั้งการดำเนินโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ในเฟส 2 เศรษฐกิจไทยจะพลิกกลับมามีความสดใสมากขึ้น รวมทั้งจะช่วยให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
“ในส่วนกรณีที่มีการเรียกร้องให้มีการยกเลิก MOU44 โดยอ้างว่าเสี่ยงทำให้ไทยเสียดินแดนนั้น ต้องตั้งสติกันก่อน เกาะกูดอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่สามารถเป็นอย่างอื่นไปได้ กรณีดังกล่าวเป็นความพยายามสร้างเงื่อนไขของกลุ่มการเมือง เพื่อปลุกระดม ดิสเครดิตรัฐบาล โดยการให้ข้อมูลที่บิดเบือนไปจากความเป็นจริง หวังสร้างความขัดแย้งของคนในชาติ ในขณะทุกองคาพยพของรัฐบาล ร่วมกับภาคเอกชน ภาคประชาชน จับมือร่วมกันทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้า แต่กลับมีกลุ่มการเมืองพยายามหาเหตุสร้างความขัดแย้ง แตกแยกความสามัคคีของคนในชาติ” นายสงคราม กล่าว