นายก้องไมตรี เทศน์สูงเนิน หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแม่ยม เผยถึง ความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่ากว่า 3 แสนไร่ ตามป่ารอยต่อ จ.แพร่ ลำปาง พะเยา และน่าน เป็นป่าเบญจพรรณมีไม้สักประมาณ 140,000 ไร่ และใหญ่ที่สุด รวมถึงมีแม่น้ำยมผ่ากลางป่า จึงเป็นระบบนิเวศที่โดดเด่น นอกจากป่าไม้สักยังมีสัตว์สำคัญอย่าง นกยูงสายพันธุ์ไทย รวมถึงนกอพยพ และสัตว์ผู้ล่าอย่างจิ้งจอกสยาม

“หากมีเขื่อนจะกระทบระบบนิเวศ สัตว์ต้องปรับตัว ซึ่งไม่รู้ว่าในอนาคตสัตว์เหล่านี้จะยังอยู่ในพื้นที่หรือไม่ พร้อมชี้ข้อกังวลผลพวงน้ำเอ่อท่วมป่าไม้ในอุทยานแห่งชาติแม่ยม ซึ่งมีทั้งป่าสัก และพื้นที่ทำกินชาวบ้าน”

อีกด้าน นายณัฐปคัลภ์ ศรีคำภา ประธานคณะกรรมการคัดค้านเขื่อนแก่งเสือเต้น เสนอรัฐบาลเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ส่งเสียง และต้องรับฟังแนวทางให้มากขึ้น อย่าคิดและทำฝ่ายเดียว ชาวบ้านมีการศึกษาและนำไปสู่ 19 แนวทางแก้ปัญหาน้ำท่วม โดยไม่ต้องสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น เพราะเชื่อว่าการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น เขื่อนยมบน และเขื่อนยมล่าง จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เพราะชาวบ้านรู้ว่าหากวัดจากความยาวของแม่น้ำยมที่มีถึง 795 กม. ตั้งแต่ จ.พะเยา ถึงนครสวรรค์ แต่แม่น้ำสาขาที่อยู่เหนือจุดที่จะสร้างเขื่อนขึ้นไปมีเพียง 11 สาขา แต่ท้ายเขื่อนลงไป แม่น้ำยมที่มีลำน้ำสาขาถึง 66 สาขา การสร้างเขื่อนจึงไม่เป็นการตอบโจทย์แก้น้ำท่วมได้

นอกจากนี้ ชาวบ้านมองการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น เป็นเพียงคำอ้างที่แฝงนัยสำคัญคือ ต้องการพื้นป่าสักทองที่มีมูลค่ามหาศาล จึงต้องถามกลับว่า มีอีกหลายพื้นที่สามารถสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นได้ เหตุใดต้องเป็นจุดนี้

“ปีนี้เข้าสู่ปีที่ 35 แต่ชาวบ้านสะเอียบทุกคนยังคงยืนหยัด หากภาครัฐปัดฝุ่นปลุกผีขึ้นมา ชาวบ้านไม่ใช่เพียงต่อสู้เพื่อตัวเอง แต่ยังทำเพื่อประเทศ และต้องแลกความสูญเสียทั้งความรู้สึก ทุกครั้งที่ได้ยินก็ทุกข์ใจ และมีสภาพจิตใจย่ำแย่”

อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าแม้จะหมดรุ่นของตนก็จะยังมีชาวบ้านรุ่นต่อไปทำหน้าที่ จึงไม่ห่วงว่าการต่อสู้ตลอด 35 ปี จะสูญเปล่า

ขณะที่ นายประสิทธิพร กาฬสีอ่อน แนวร่วมคัดค้านเขื่อนแก่งเสือเต้น กล่าวถึง การต่อสู้ตลอด 35 ปีว่า จะยังต่อสู้ไปเรื่อย ๆ และจากนี้จะมีรุ่นลูกหลานที่รวมตัวกันในชื่อ “ตะกอนยม” มาเรียนรู้วิธีการต่อสู้จากรุ่นสู่รุ่น สืบต่อจากรุ่นปัจจุบัน เพราะผลกระทบของการสร้างเขื่อนคือต้องโยกย้ายไปที่อื่น ชุมชนแตกกระเซ็น หรือเรียกว่า ล่มสลาย วัฒนธรรมประเพณีที่สืบสานกันมา รวมถึงเครือญาติที่อยู่ร่วมกันมาก็ต้องแตกแยกออกไป

พร้อมย้ำชาวบ้านที่นี่มีความสามัคคีในการร่วมกันต่อสู้ เพื่อปกป้องแผ่นดินเกิด และไม่ใช่แค่เพื่อชุมชน แต่ต่อสู้เพื่อปกป้องผืนป่าสักทองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และของโลก ทั้งนี้ ที่ไม่สามารถเสียสละพื้นที่นี้ได้ เพราะเชื่อว่ามีทางออกอื่นอีกมากมาย เช่น หากไม่อยากให้น้ำท่วมก็ควรทำทางเบี่ยง หรือหากอยากได้น้ำ ควรทำหลุมขนมครก 11 จังหวัดทั่วทั้งลุ่มน้ำยม และพัฒนาอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก และกลาง ผลกระทบจะน้อยลง ไม่ใช่แค่หวังรอสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นเพียงอย่างเดียว

“แม้คุณจะหวังมา 35 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างได้ ถึงวันนี้สร้างไม่ได้ EIA ก็ไม่ผ่าน หมายความว่าโครงการนี้ไม่เหมาะสม ไม่สมควรตั้งแต่คิด และต้องคิดใหม่ หาวิธีทำทางเบี่ยง หรือจะทำแก้มลิง สร้างอ่างเล็กอ่างน้อยอย่างไร เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง และน้ำท่วมอย่างยั่งยืน จริงจัง ไม่ใช่มาหลอกทำโครงการเดียวคือแก่งเสือเต้นเท่านั้น”

อย่างไรก็ตาม “สะเอียบโมเดล” สามารถรองรับน้ำสู้เขื่อนขนาดใหญ่ได้ และมีการพัฒนาจัดการน้ำขึ้นมาแค่ตำบลเดียว แต่สามารถพัฒนาอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง และเล็ก รวมทั้งสระ หลุมขนมครกต่าง ๆ ซึ่งเก็บน้ำได้ถึง 129 ล้าน ลบ.ม. ทั้งหมดนี้ไม่ได้คิดเอง แต่มีทีมวิศวกรของมหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นผู้วางแผน และคิดตามที่ชาวบ้านนำไปชี้จุด เพื่อศึกษาร่วมกันจนได้ข้อมูลว่าสามารถพัฒนาได้ถึง 29 แหล่งน้ำ และกักเก็บน้ำได้ถึง 129 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเป็น 1 ใน 10 ของแก่งเสือเต้น

แม้ปัจจุบันจากการชุมนุมที่เกิดขึ้น รัฐบาลนำโดยกรมชลประทานจะทำหนังสือถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กรมชลประทานไม่ดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับเขื่อนแก่งเสือเต้นแล้ว แต่ขณะเดียวกันกรมชลประทานได้เริ่มพัฒนาอ่างน้ำปี้ อ่างน้ำงาว ซึ่งมองว่าเป็นแนวทางที่สะเอียบโมเดลควรผลักดัน และเมื่อเป็นโครงการที่เล็กกว่า กรมทรัพยากรน้ำก็สามารถพัฒนาได้ที่สะเอียบถึง 150,000 ลบ.ม. หากไม่ถึง 1 ล้าน ลบ.ม. กรมทรัพยากรน้ำสามารถจัดทำอ่างเก็บน้ำได้ แต่หากเป็นโครงการขนาดกลาง และขนาดใหญ่ จะเป็นความรับผิดชอบของกรมชลประทาน

“หากโครงการแก่งเสือเต้นถูกปลุกขึ้นมา ตนคิดว่าไม่ใช่แค่ชาวบ้านที่เสีย แต่เป็นคนไทย และโลกที่เสียทรัพยากรมหาศาล เพราะทรัพยากรนี้ไม่ใช่ของชาวสะเอียบเท่านั้น” เสียงชาวบ้าน ทิ้งท้าย.

ทีมข่าวอาชญากรรม รายงาน