วันที่ 12 ธ.ค.นี้ รัฐบาล นำโดย “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร จะแถลงผลงานรัฐบาลในช่วง 90 วันของรัฐบาลแพทองธาร และก้าวต่อไปในปี 2568 ในชื่องาน “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง 2025 Empowering Thais: A Real Possibility จากผลงานที่เป็นรูปธรรม สู่อนาคตที่ทำได้จริง” เวลา 10.00 น. ถ่ายทอดสดที่ช่อง NBT2HD และ Facebook Live: Live NBT2HD” และมอบนโยบายการบริหารราชการแผ่นดิน ภายใต้ชื่อ “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง” ผู้เข้าร่วมงาน คือ คณะรัฐมนตรี ( ครม.) หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ข้าราชการฝ่ายการเมือง ผู้บริหารองค์กรรัฐวิสาหกิจ และองค์กรมหาชน

โครงการที่เป็นเรือธงของรัฐบาลที่จะทำในปี 68 อาทิ โครงการเงินดิจิทัลที่จะเดินหน้าต่อในอนาคต กองทุนหมู่บ้าน การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และการยกระดับเศรษฐกิจ พร้อมพบปะมอบนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินแก่ผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการส่วนต่างๆ ซึ่งหลายโครงการก็เคยประกาศไว้ตั้งแต่รัฐบาลเศรษฐา 12 ธ.ค. เราต่างก็หวังจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ น่าฮือฮาจากฝ่ายบริหารบ้าง

ในส่วนฝ่ายสภา ก็จะเปิดสภาวันที่ 12 ธ.ค. นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของพรรคเพื่อไทย ที่จะเสนอเข้าไปประกบกับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของพรรคการเมืองอื่นว่า เสร็จในขั้นต้นแล้ว เนื้อหาใกล้เคียงกับร่างอื่นๆ ของพรรคต่างๆ ที่จะมุ่งเน้นไปที่ความผิดที่มีเหตุจูงใจทางการเมือง ความขัดแย้งทางการเมืองในอดีตตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน

กำหนดนิยามเหตุจูงใจทางการเมืองไว้ให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้มีปัญหาตีความ ให้มีคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาความผิดที่เข้าหลักเกณฑ์ การพิจารณากฎหมายดังกล่าวคงไม่เกิดขึ้นทันทีตั้งแต่เปิดสมัยประชุมสภา ..อย่างไรก็ตาม นายชูศักดิ์ ยังไม่ขอฟันธงว่า ความผิดที่เกี่ยวกับการทุจริตจะได้รับการนิรโทษหรือไม่ โดยตอบผู้สื่อข่าวว่า “ยังไม่อยากตอบว่าเกี่ยวหรือไม่เกี่ยว เพราะจะเอาเป็นประเด็นทางการเมือง คำตอบจะอยู่ว่าเป็นความผิดตามบัญชีแนบท้ายหรือไม่ เราต้องตีความเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองและนิยามให้ชัดเพื่อไม่ให้เกิดการตีความในภายหลังอีก”

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ยืนยันว่า กฎหมายนิรโทษกรรมของเพื่อไทย ไม่ได้ยื่นมาเพื่อให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่อยู่ต่างประเทศได้ประโยชน์เป็นการเฉพาะ ถ้าเข้าเกณฑ์ เข้าเงื่อนไข คนไทยทุกคนต้องได้รับสิทธิ์

ส่วนกฎหมายอื่นๆ ที่จะเสนอ “บรุ๊ค”ดนุพร ปุณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อเปิดสภา ร่างกฎหมายของพรรคเพื่อไทยที่จะเข้าสู่ที่ประชุมสภาคือ ร่าง พ.ร.บ.ล้มละลาย (ฉบับที่…) พ.ศ.… ร่างพ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า (ฉบับที่…) พ.ศ.… ร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบกลาโหม (ฉบับที่…) พ.ศ.…ซึ่งมีเนื้อหาต้านรัฐประหาร เป็นต้น

ขณะที่ของพรรคร่วมรัฐบาลจะมี ร่าง พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ (ฉบับที่…) พ.ศ.… หรือ ร่างพ.ร.บ.หวยเกษียณ, ร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม รถไฟฟ้า 20 ตลอดสาย รวมถึงร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งของพรรคเพื่อไทยนั้น ที่สุดแล้วอาจไปใช้ร่างของรัฐบาล

สำหรับความเห็นเกี่ยวกับการทำประชามติ ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “ประชามติและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 2-3 ธ.ค. 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ทั่วประเทศ 1,310 หน่วยตัวอย่าง สำรวจโดยสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ เมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับเกณฑ์การผ่านประชามติโดยต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่ง หรือเกิน 50% ของผู้มีสิทธิ พบว่า 51.37% ระบุว่า เห็นด้วยมาก 21.83% ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย 15.50% ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย 10.46% ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย

สำหรับความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการกำหนดเกณฑ์การผ่านประชามติ พบว่า 59.54% ระบุว่า เสียงเห็นชอบต้องเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ หรือต้องได้มากกว่า 50% รองลงมา 26.57% ระบุว่า เสียงเห็นชอบต้องเป็นเสียงส่วนใหญ่ แต่ไม่จำเป็นต้องถึง 50% ส่วน 12.52% ระบุว่า เสียงเห็นชอบต้องเป็นเสียงส่วนใหญ่ ไม่จำเป็นต้องถึง 50% แต่ต้องมากกว่าผู้ลงคะแนนช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน

ด้านความต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พบว่า 27.63% ระบุว่า ต้องการมาก รองลงมา 27.02% ระบุว่า ไม่ต้องการเลย 25.34% ระบุว่า ค่อนข้างต้องการ 19.08% ระบุว่า ไม่ค่อยต้องการ เมื่อสอบความคิดเห็นของผู้ที่ระบุว่าต้องการมากและค่อนข้างต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จำนวน 694 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับรูปแบบการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ประชาชนต้องการ พบว่า 78.97% ระบุว่า ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา 19.16% ระบุว่า ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ

จำนวนผู้ต้องการแก้กับไม่ต้องการให้แก้แทบจะเท่ากัน คงเป็นเพราะหลายคนเห็นการที่สภาต้องวนเวียนอยู่แต่เรื่องนี้จนไม่ได้ขับเคลื่อนกฎหมายอะไรไปข้างหน้า ก็ชักจะระอา คิดว่าเป็นวาระนักการเมือง

ในส่วนข่าวเศรษฐกิจที่น่าสนใจ นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 2 สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ว่า หากเดินหน้าแจกเงินดิจิทัล เฟส 2 สำหรับผู้สูงอายุแล้ว จะเหลือจำนวนประชาชนที่ยังไม่ได้ดูแลอยู่ประมาณ 23-24 ล้านคน จากนี้ กระทรวงจะประเมินผลการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท อย่างละเอียดว่ามีผลต่อเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกสำหรับการประเมินโครงการที่ดำเนินการลักษณะนี้

“คลังจะสำรวจ ผ่าน 3 หน่วยงาน ได้แก่ มหาวิทยาลัยหอการค้า ที่สำรวจในฝั่งผู้ประกอบการ สวนดุสิตโพล สำรวจภาคประชาชน และสำนักงานสถิติแห่งชาติ เก็บตัวอย่างทุกหมู่บ้าน อำเภอ และตำบล เมื่อได้ข้อมูลชุดดังกล่าวมาแล้ว กระทรวงการคลัง และสภาพัฒน์จะเป็นผู้วิเคราะห์เองเพื่อประเมินความคุ้มค่า และผลต่อเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน ธ.ค. 67 นี้” ก็รอดูว่า จะแถลงว่ากระตุ้นเศรษฐกิจได้กี่ % เพราะยังแจกแต่กลุ่มเปราะบาง ส่วนกลุ่มที่ 3 ที่ยังไม่ได้รับแจก คาดว่าน่าจะช่วงสงกรานต์ และแจกเป็นเงินดิจิทัลใช้ทางแอปฯ เป๋าตัง

จากการที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง พูดในฐานะองค์ปาฐกถาที่เวทีหนึ่ง เกี่ยวกับการศึกษาปรับฐานภาษีเงินได้ส่วนบุคคล-นิติบุคคล –ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือแวต เป็น flat rate 15% นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยว่า การปรับลดภาษีบุคคลธรรมดาทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากเพดาน 35% ลงมาเหลือ 15% รวมถึงลดภาษีนิติบุคคล ซึ่งเก็บจากกำไรของสถานประกอบการจาก 20% เหลือ 15% จะกระทบต่อภาระการใช้จ่ายประชาชนและโครงสร้างภาษีทั้งระบบ

“เป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชน ไม่ใช่การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพราะผลที่ตามมาราคาสินค้าจะแพงขึ้นแบบถ้วนหน้า เนื่องจากสินค้าสำเร็จรูปรวมถึงบริการต้องผ่านกระบวนการโซ่อุปทานผลิตซ้ำหลายชั้น ต้องเสียภาษีแวต แม้ว่า จะสามารถขอคืนภาษีได้ ประเมินว่า หากใช้จริงจะทำให้ราคาสินค้าปรับขึ้น 15 – 20% แน่นอน”

นายธนิต ย้ำว่า ไม่จำเป็นที่ไทยจะต้องไปลดภาษีนิติบุคคล เนื่องจากธุรกิจที่มีกำไรก็ควรจะเสียภาษีโดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่มีกำไรหลักเป็นพันถึงหลายหมื่นล้านบางรายเป็นหลักแสนล้าน ไม่ต้องไปลดภาษีให้กับกลุ่มทุนเหล่านั้นให้รวยขึ้นไปอีก ในที่สุดเงินเหล่านั้นจะกลับเข้ามาแย่งพื้นที่ทุนรายย่อย และครอบงำผูกขาดตลาด

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การปรับขึ้นแวตหลายเปอร์เซ็นต์ อาจทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และผู้ค้าขายผ่านอี คอมเมิร์ซ เลี่ยงการเข้าสู่ระแบบแวต รัฐบาลต้องผลักดันให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ เข้าสู่ระบบแวต และเข้าสู่ระบบภาษีให้มากขึ้นดีกว่า หากรัฐบาลทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มถึง 5% กระจายรายได้สู่ประชาชนให้มากขึ้น การปรับขึ้นแวต ก็น่าจะรับได้.

“ทีมข่าวการเมือง”