รู้หรือไม่? การศึกษาในปัจจุบันชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างสารเคมีมากกว่า 400 ชนิดที่ใช้ในผลิตภัณฑ์พลาสติกทั่วไปกับการเกิด ‘มะเร็งเต้านม’ และสารประกอบอันตรายเหล่านี้อาจเป็นตัวกระตุ้นให้มีอัตราการเกิดมะเร็งในผู้หญิงวัยรุ่นเพิ่มมากขึ้น

สอดคล้องกับงานวิจัยล่าสุดที่พบว่า สารเคมีหลายชนิด อาทิ PFAS, พาทาเลต, พาราเบน และอะโรมาติกเอมีน ถูกเติมลงในบรรจุภัณฑ์อาหาร ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย และพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ทำให้การสัมผัสสารเคมีเหล่านี้ในชีวิตประจำวันกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

แม้ว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะน่ากังวล แต่ผลการวิจัยดังกล่าวยังชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการกำหนดกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น

ปัญหาของพลาสติกไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ขยะที่ทิ้งแล้ว แต่ยังรวมถึงสารเคมีอันตรายนับหมื่นชนิดที่ซ่อนอยู่ในพลาสติกชนิดต่างๆ ซึ่งหลายชนิดเป็นที่รู้จักกันดีว่าก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม และยังมีอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างละเอียดถึงพิษภัย

ข้อมูลดังกล่าวเป็นผลการวิจัยจาก ‘Silent Spring’ ที่เพิ่งถูกตีพิมพ์เมื่อไม่นานนี้ โดยได้เปิดเผยข้อมูลอันน่ากังวล เมื่อพบว่ามีสารเคมีที่ใช้ในเชิงพาณิชย์มากกว่า 900 ชนิดที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็ง เมื่อนำข้อมูลนี้มาเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติก พบว่ามีสารเคมีที่ตรงกันมากถึง 414 ชนิด นั่นหมายความว่า สารเคมีที่เราใช้ในชีวิตประจำวันผ่านผลิตภัณฑ์พลาสติก อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การเกิดโรคมะเร็ง

ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่านั้นคือ การศึกษาชิ้นนี้ยังชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงมีอัตราการเกิดมะเร็งก่อนอายุ 50 ปีสูงกว่าผู้ชายถึงสองเท่า และมะเร็งเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในกลุ่มผู้หญิง ซึ่งการสัมผัสกับสารเคมีจากพลาสติกอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสถิติอันน่าตกใจนี้

นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลกระทบต่อระบบฮอร์โมน มีฤทธิ์ก่อให้เกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม หรืออาจรวมถึงทั้งสองอย่าง การเติมสารเคมีต่างๆ เช่น พาทาเลต และ PFAS ลงในพลาสติกเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์นั้น แม้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน แต่ก็อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้บริโภคได้ โดยเฉพาะสารอะโรมาติกเอมีน ซึ่งมักใช้เป็นสีย้อมและมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งสูง

แม้จะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่ากังวล แต่การควบคุมการใช้สารเคมีในอุตสาหกรรมพลาสติกยังคงเป็นไปอย่างละหลวม เนื่องจากอิทธิพลของกลุ่มที่มีผลประโยชน์ต่างๆ โดย The Guardian สหราชอาณาจักร รายงานว่า ส่วนใหญ่เป็นอำนาจในการล็อบบี้ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและพลาสติก

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่าการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดขึ้น เช่น Proposition 65 ของรัฐแคลิฟอร์เนีย สามารถช่วยลดระดับสารเคมีอันตรายในร่างกายของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการกำหนดมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น เพื่อปกป้องสุขภาพของผู้บริโภคจากผลกระทบของสารเคมีที่ปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์พลาสติก

ดร. รูเดล (Ruthann Rudel) หนึ่งในทีมวิจัยจาก Silent Spring Institute กล่าวว่า รัฐบาลแต่ละประเทศจะต้องมีการวางนโยบายในการควบคุมการใช้สารเคมีที่เป็นพิษอย่างเร่งด่วน โดยย้ำว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรปรับเปลี่ยนวิธีการจากการจัดการสารเคมีแต่ละชนิดให้เป็นการจัดการกลุ่มสารเคมีที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมสารเคมีอันตรายได้เป็นอย่างมาก เนื่องจากการจัดการสารเคมีเป็นรายตัวนั้นถือเป็นภารกิจที่ใหญ่เกินกว่าจะดำเนินการได้ครอบคลุม

นอกจากนี้ ดร. รูเดลยังได้กล่าวถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากพลาสติก และเสนอแนะว่า สนธิสัญญาเกี่ยวกับพลาสติก ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติ (UN) อาจเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การผลักดันสนธิสัญญานี้ยังคงเผชิญกับอุปสรรคจากประเทศผู้ผลิตปิโตรเลียมรายใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา ที่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์

ทั้งนี้ เธอยังเสนอหนึ่งในวิธีการลดปัญหาการสัมผัสกับสารก่อมะเร็งที่ผู้หญิงสามารถทำได้ง่ายๆ นั่นคือ การหลีกเลี่ยงการใช้พลาสติกในครัวเรือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเครื่องครัวและบรรจุภัณฑ์อาหาร เนื่องจากอาหารเป็นช่องทางสำคัญที่ร่างกายสัมผัสกับสารเคมีที่อาจปนเปื้อนมาจากพลาสติกได้โดยตรง การเลือกใช้ภาชนะและบรรจุภัณฑ์อาหารที่ทำจากวัสดุธรรมชาติหรือวัสดุที่ปลอดภัยต่อสุขภาพจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในระยะยาว

“ผู้คนไม่จำเป็นต้องรู้จักสารเคมีแต่ละชนิด เพียงแค่พยายามใช้พลาสติกให้น้อยลงก็จะดีต่อโลกและต่อพวกเขาเอง นี่แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเล็กน้อย เช่น การลดการใช้พลาสติก สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อทั้งสุขภาพส่วนบุคคลและสิ่งแวดล้อมได้อย่างมาก” รูเดล กล่าวทิ้งท้าย

ขอบคุณข้อมูลจาก: The Guardian