เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล และผู้ต้องหาคดี ดิไอคอน กรุ๊ป เปิดเผยหลัง DSI ส่งสำนวนคดีให้อัยการคดีพิเศษพิจารณาเพื่อมีคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องในคดีดังกล่าว ว่า  ยอมรับว่าคดีนี้ยังไม่พร้อมที่จะต่อสู้คดีให้กับลูกความแต่ละคน เนื่องจากยังไม่ได้รับความเป็นธรรมในการได้ข้อมูลทางคดีมาให้ลูกความพิจารณาในการต่อสู้คดี จึงได้รวมตัวกับทนายความของผู้ต้องหาทุกคนร่างคำร้องขอความเป็นธรรมกับสำนักงานอัยการสูงสุดใน 4 ประเด็นคือ เรื่องการสอบปากคำพยานของฝั่ง ดิไอคอน ซึ่งขณะนี้ทาง DSI ได้สอบปากคำพยานในฝั่งของตนเองไปเพียง 30 ปากจากจำนวนมากกว่า 2,400 ปาก

ซึ่งในประเด็นนี้ก็ยังถือว่าไม่ติดใจมากนัก อีกส่วนหนึ่งคือประเด็นการสอบปากคำโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ของ ดิไอคอนกรุ๊ป ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษก็มีการสอบให้ตามคำขอ แต่ประเด็นสำคัญคือเรื่องรายงานพฤติการณ์ของผู้เสียหาย 9,000 กว่าราย ให้สรุปพฤติการณ์มาให้โดยละเอียด รวมถึงรายชื่อของพยานและผู้เสียหายในคดีดังกล่าว ว่ามีบุคคลใดบ้างและมีมูลค่าความเสียหายและรูปแบบพฤติการณ์ของลูกความตนเองอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้ทำคำให้การได้ถูกต้องแต่ปรากฏว่าไม่ได้ตามที่ขอไป

นายวิฑูรย์ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนได้ทำเรื่องขอไปทาง DSI ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่ DSI ก็ปฏิเสธที่จะไม่ให้ข้อมูลดังกล่าว ซึ่งตนเองได้ทราบข้อมูลว่า ร.ต.อ.สราวุธ รังไสย์ พนักงานสอบสวนคดีดิไอคอนกรุ๊ป ให้สัมภาษณ์ในรายการดังว่า ขณะนี้ได้มีการสอบปากคำโรงงานไปเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว และมีรายชื่อของผู้แจ้งความทั้งหมด ซึ่งมองว่าเรื่องนี้ก็ต้องทำอยู่แล้ว และต้องให้หลักฐานดังกล่าวแก่ตนเพื่อใช้ในการต่อสู้คดี เพราะเป็นไปตามกฎหมายมาตรา 134 เนื่องจากการสอบสวนผู้ต้องหาต้องเป็นธรรม และรวดเร็ว และต้องให้โอกาสในการต่อสู้คดีซึ่งเรื่องนี้ไม่มี ฉะนั้นต้องขอความเป็นธรรมกับอัยการสูงสุด

ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายมองว่าการที่ตนเองร้องขอความเป็นธรรมกับสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นการยื้อคดี เรื่องนี้มองว่าตนเองก็ไม่ได้อยากทำ และถ้า DSI ให้ข้อมูลดังกล่าวก็คงไม่ร้องขอความเป็นธรรมแบบนี้ และเชื่อว่าทางสำนักงานอัยการสูงสุด จะให้ความเป็นธรรมในเรื่องดังกล่าว แต่หากเรื่องไปถึงชั้นศาล ตนเองก็คงต้องให้ลูกความไม่รับข้อเท็จจริงของพยานและผู้เสียหายซึ่งอาจทำให้ศาลต้องสอบพยานทุกคนมองว่าจะยิ่งทำให้ทุกอย่างยิ่งแย่จะเสียเวลาทั้งศาลและทุกคน

ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าจะมีการดำเนินคดีกับแม่ข่ายของดิไอคอนเพิ่มเติม นายวิฑูรย์ มองว่าหากจะทำจริงต้องมีพยานหลักฐานชัดเจน และไม่อยากให้เรื่องนี้เลยเถิด อย่าทำไปตามกระแส และดำเนินการไปตามความเป็นจริง และให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ซึ่งก็จะต่อสู้ไปตามกระบวนการของกฎหมาย และพยานหลักฐานที่มี

ส่วนประเด็นที่มีแชตถึงผู้เสียหายเป็นลักษณะคล้ายการข่มขู่ เรื่องนี้นายวิฑูรย์ ยอมรับว่า ตนขอให้ทาง DSI สอบสวนไป ตนใช้สิทธิตามกฎหมายเหมือนกับที่พนักงานสอบสวนใช้สิทธิของตนเอง ซึ่งกฎหมายให้สิทธิในการแจ้งข้อกล่าวหาแต่หากเป็นการแจ้งความเท็จ ตนก็สามารถใช้สิทธิทางกฎหมายในการดำเนินคดีกลับได้ ไม่ใช่มองว่าเป็นผู้ต้องหา และจะปิดหูปิดตาทำแบบนี้ก็ไม่ถูก ซึ่งตนยืนยันว่าแค่จะตรวจสอบผู้ที่แจ้งความเท็จมาดูเพื่อที่จะพิจารณาดำเนินคดี “ถ้าหากไม่ได้แจ้งความเท็จ จะไปเดือดร้อนอะไร และผมไปข่มขู่ตรงไหน เอาให้เป็นธรรมตรงไปตรงมาอย่าเอาสะใจ มันไม่ดี”

นายวิฑูรย์ กล่าวอีกว่า อัยการสูงสุดจะให้ความเป็นธรรมตามกฎหมาย จะไม่เพิกเฉยในเรื่องพวกนี้ เพราะจะกลายเป็นการสั่งคดีไม่ชอบ ซึ่งถ้าหากไม่เป็นตามที่ตนเองวางไว้ก็จะไปสู้ในชั้นศาล

เมื่อถามว่าจะมีการยื่นประกันตัวอีกหรือไม่ นายวิฑูรย์ ระบุว่า เบื้องต้นมีคนยื่นประกันตัวไปแล้ว 4 คน ครั้งนี้ก็อาจจะมีการยื่นประกันตัวในวันที่อัยการสั่งฟ้องก็เป็นได้ เบื้องต้นยังไม่ได้คุยเรื่องหลักทรัพย์การประกันตัวจะไปถามกับญาติของผู้ต้องหาก่อน

“ท้ายที่สุดหากอัยการสูงสุดสั่งฟ้อง เราก็ต้องพร้อมสู้คดี แต่ในชั้นสอบสวนตอนนี้เรายังมีหลายประเด็นที่ต้องการให้สอบสวนต่อ และยังสอบสวนไม่ครบและยังมีอีกหลายเรื่องที่เรายังไม่ได้รับสิทธิตามกฎหมายเลย” นายวิฑูรย์ กล่าว

เมื่อถามว่าได้คุยกับทีมทนายความแล้วหรือยัง ในเรื่องของการยื่นประกันตัวผู้ต้องหาพร้อมกัน นายวิฑูรย์ ระบุว่า ก็มีการคุยกันอยู่เป็นประจำแต่ไม่สามารถที่จะเปิดเผยแนวทางได้