เมื่อวันที่ 29 ต.ค. นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทยจำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยภายหลังนำคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชม และตรวจความพร้อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ว่า ขณะนี้ท่าอากาศยานของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง มีความพร้อมที่จะให้บริการรองรับการเปิดประเทศแล้ว โดยเฉพาะท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งวันที่ 1 พ.ย. มีสายการบินแจ้งทำการบินเที่ยวบินพาณิชย์มาประมาณ 440 เที่ยวบิน แบ่งเป็น เที่ยวบินภายในประเทศ 230 เที่ยวบิน เที่ยวบินระหว่างประเทศ 110 เที่ยวบิน และเที่ยวบินขนส่งสินค้า 100 เที่ยวบิน คาดว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางผ่าน ทสภ. ประมาณ 3 หมื่นคน แบ่งเป็น ผู้โดยสารภายในประเทศ 2.3 หมื่นคน และระหว่างประเทศ 7 พันคน

นายนิตินัย กล่าวต่อว่า การให้บริการของสนามบินจะเปลี่ยนไปจากช่วงก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยจะเน้นรูปแบบวิถีใหม่ (New Normal) ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพื่อลดการสัมผัส อาทิ เครื่องคีออส (KIOSK) สำหรับเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ 196 เครื่อง 

และเครื่องคีออสรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ 42 เครื่อง ซึ่งติดตั้งกระจายอยู่บริเวณแถวเช็กอินตั้งแต่ Row B ถึง Row U ชั้น 4 อาคารผู้โดยสาร ทสภ. และในอนาคตมีแผนนำระบบจดจำใบหน้า (ไบโอเมทริกซ์) มาใช้ตรวจสอบตัวตนผู้โดยสารด้วย ขณะเดียวกันในเดือน พ.ย.นี้ จะเปิดให้ใช้แอพพลิเคชั่น SAWASDEE by AOT ซึ่งจะมีระบบการทำงานที่หลากหลาย ช่วยอำนวยความสะดวกในงานบริการต่างๆ ให้ผู้โดยสาร 

นายนิตินัย กล่าวอีกว่า ก่อนเกิดโควิด-19 ท่าอากาศยาน 6 แห่งของ ทอท. ได้แก่ ทสภ., ท่าอากาศยานดอนเมือง, ท่าอากาศยานเชียงใหม่, ท่าอากาศยานภูเก็ต, ท่าอากาศยานหาดใหญ่ และท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย มีผู้โดยสารมาใช้บริการรวมประมาณ 142 ล้านคน ซึ่งการเปิดประเทศเดือน พ.ย.นี้ คาดว่าจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารคงยังไม่ได้กลับมาในทันที และมีจำนวนไม่มาก เพราะการจองตั๋วส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะจองล่วงหน้าใช้ระยะเวลาเป็นเดือน ต้องขอบคุณรัฐบาลที่เปิดประเทศในเดือน พ.ย.นี้ ถือเป็นเดือนที่เหมาะสม หวังว่าจะกลับมามากขึ้น ทันในช่วงเทศกาลปีใหม่ (ธ.ค.64-ม.ค.65) และคาดว่าปีงบประมาณ 65 (ต.ค.64-ก.ย.65) ท่าอากาศยาน 6 แห่งของ ทอท. จะมีผู้โดยสารรวมกว่า 60 ล้านคน ขณะที่ปีงบฯ 66 (ต.ค.65-ก.ย.66) ผู้โดยสารจะทยอยกลับมาสู่ปกติเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19  

นายนิตินัย กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้อุตสาหกรรมการบินต้องจับตาดู 3 จุดหลัก ได้แก่ 1.เดือน พ.ย.64 ผู้ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการบิน ยังคงอยู่เหลือเท่าใด 2.เดือน ธ.ค.64 เป็นเดือนที่ต้องลุ้นมาก เพราะจำนวนผู้โดยสารน่าจะกลับมาเพิ่มขึ้น แต่คงไม่มากนัก เนื่องจากประเทศจีนยังไม่เปิดให้ประชากรเดินทางเข้าออกประเทศ จึงต้องลุ้นกันอีกครั้งในช่วงเดือน ก.ย.65 ที่จะมีการจัดเอเชี่ยนเกมส์ที่ประเทศจีน ซึ่งคาดว่าตั้งแต่เดือน เม.ย.-พ.ค.65 จะเริ่มมีการเดินทางและผู้โดยสารจะเพิ่มมากขึ้น และ 3.จุดคุ้มทุนของท่าอากาศยาน และสายการบิน ต้องรอดูว่า เมื่อผู้โดยสารจีนกลับมาแล้ว จะทำให้ผู้โดยสาร ทอท. กลับมาอย่างน้อย 50% และสายการบินมีอัตราบรรทุกผู้โดยสาร 60-70% ขึ้นไป ได้หรือไม่ 

นายนิตินัย กล่าวอีกว่า สำหรับความคืบหน้าการเปิดให้บริการอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1 : SAT1) และรถไฟฟ้าขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (APM) หรือรถไฟฟ้าไร้คนขับเชื่อมอาคารผู้โดยสารนั้น จะก่อสร้างและทดสอบระบบแล้วเสร็จเดือน ก.ค.-ส.ค.65 โดยล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท. มีมติให้เปิดให้บริการในเดือน เม.ย.66 เพราะมั่นใจว่า ในช่วงตารางบินฤดูหนาว (Winter) ต.ค.-ธ.ค.65 จะมีผู้โดยสารมาใช้บริการ ทสภ. 36 ล้านคน หรือประมาณ 80% ของขีดความสามารถในการรับรองผู้โดยสารของ ทสภ. ที่สามารถรับได้ 45 ล้านคน ดังนั้นอาคารผู้โดยสารหลักของ ทสภ. ยังสามารถรองรับได้อยู่