ถูกจุดประเด็นให้บรรดาคอการเมือง ต้องลุ้นกันว่า ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของประเทศ จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้มีประเด็นที่พรรคร่วมรัฐบาล เห็นต่างในเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) หรือมีปัญหาในการทำงานร่วมกัน อีกทั้ง “นายทักษิณ ชินวัตร” ผู้มากบารมียังออกมาโจมตีบางพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ให้ความร่วมมือในการทำงานแบบเต็มร้อย ทำตัวเป็นอีแอบ พร้อมทั้งขู่ว่าถ้าไม่ให้ความร่วมมือ ก็ไม่ควรอยู่ร่วมในฝ่ายบริหาร ซึ่งช่วงนั้นมีการตีความกันมากว่าเชื่อมโยงกับพรรคไหน

ซึ่งหลายคนเห็นตรงกันว่า น่าจะเป็น “พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)” ซึ่งมี “นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” เป็นหัวหน้าพรรค มีตำแหน่งรองนายกฯ และรมว.พลังงาน อีกทั้งยังมีข่าวหลุดรอดตามหน้าสื่อว่า ผู้นำพรรคการเมืองนี้มีปัญหาขัดแย้งกับนายทุนคนสำคัญที่เป็นแบ๊กอัพให้อยู่ จนมีข่าวว่า 25 สส.ของพรรค อาจแยกตัวไปสังกัดพรรคการเมืองน้องใหม่ชื่อ “โอกาสใหม่” ซึ่งมี “นายสุปกิต โพธิ์ปภาพันธ์” อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี เป็นหัวหน้าพรรค โดยมี “บิ๊กฉิ่ง” นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นคนประสานงานกลุ่มอดีตข้าราชการกระทรวงมหาดไทยมาช่วยตั้งพรรค โดยจับมือกับ “ปลัดตุ๋ม” นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คอยประสานงานอดีตข้าราชการกระทรวงทรัพยากรฯ มาช่วยงานด้วยและมีนายทุนคนเดียวกับที่สนับสนุน “พรรครวมไทยสร้างชาติ” มาเป็นท่อน้ำเลี้ยง
แต่เมื่อ “นายทักษิณ” ตอบคำถามของผู้สื่อข่าว ถึงกระแสข่าวที่นายพีระพันธ์ุ อาจถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) รอบนี้ว่า ไม่มี คุยกันรู้เรื่อง ไม่มีอะไรเลย นายพีระพันธุ์เป็นคนตั้งใจ รู้จักกันมานาน เคยมีความคุ้นเคยกัน รู้เรื่องทุกเรื่อง เมื่อถามย้ำว่า นายกฯ ยังมีการเปรยเรื่องของการปรับ ครม.ในช่วงนี้ใช่หรือไม่ นายทักษิณ ระบุว่า ไม่มีเลย วันนั้นคุยกัน เขาบอกว่าพ่อ อิ๊งค์ยังสบายๆ ถ้าทำงานกับ ครม.ชุดนี้ ไม่มีปัญหา ยังไปกันได้ดี ส่วนยังอยู่ยาวได้ใช่หรือไม่ ยังไม่มีเหตุปัจจัย

ก็พอจะช่วยการันตีในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในฝ่ายบริหาร แต่การเมืองไม่มีความแน่นอน เพราะถ้าย้อนไปในอดีตเวลา “พรรค พท.” เป็นแกนนำรัฐบาล มักจะมีการปรับ ครม.บ่อย เนื่องจากมี สส. เป็นจำนวนมาก ดังนั้นต้องหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันเข้ามาตำแหน่งทุก 6 เดือน อีกปัจจัยหนึ่งคือเมื่อมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากรัฐมนตรีคนไหนตกเป็นเป้า หรือพบว่ามีปัญหาเรื่องความไม่โปร่งใสในการบริหาร หากปล่อยให้บริหารต่อไปอาจกระทบกับเสถียรภาพของรัฐบาล ยิ่งเป้าหมายของ “นายทักษิณ” คือในการเลือกตั้งครั้งหน้าตั้งเป้า สส.ไว้ที่ 200 คน ผลักดันให้บุตรสาวกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง ดังนั้นอะไรที่เป็นปัญหาและเป็นเงื่อนไข กระทบกับฝ่ายบริหาร เชื่อว่า “นายทักษิณ” ไม่ปล่อยไว้แน่ๆ อีกทั้งการเมืองบ้านเรามักมีปัญหาความขัดแย้ง มีปัจจัยเสี่ยงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นถ้าจะบอกว่าหากมีการปรับ ครม. ประกอบด้วย 1. เกิดความขัดแย้งใน ครม. 2 ถูกฝ่ายค้านเปิดโปงว่ามีปัญหาในการบริหารงาน และ 3. ไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ดังนั้นคงต้องรอดูว่าเมื่อมีปัจจัยดังกล่าวเกิดขึ้น ทั้ง “นายทักษิณ” และ “นายกฯ แพทองธาร” จะต้องเดินเครื่องกำจัดจุดอ่อนหรือไม่
ส่วน “นายภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ ในฐานะ ”ผู้จัดการรัฐบาล” ให้ความเห็นกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ยืนยันจะไม่มีการปรับพรรค รทสช.ออกจากรัฐบาลว่า ไม่ทราบนายทักษิณพูดในสถานะไหน แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องตลกมาก มันไม่มีความรู้สึกในหมู่พรรคร่วมรัฐบาลหรือ ครม. ที่อยู่ๆ จะปรับคนนู้นปรับคนนี้ สื่อต้องเลือกฟังแหล่งข่าวที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นเราจะกลายเป็นเครื่องมือให้เขาปั่นประเด็นต่างๆ ไปมากมาย ยืนยันเรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งอำนาจในการปรับ ครม.อยู่ที่นายกฯ ซึ่งต้นข่าวก็ทำนายผิดมาตลอด ยังจะไปให้เครดิต เมื่อถามอีกว่าวันนี้พรรคร่วมรัฐบาลกลมเกลียวกันดีใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า “โอเคดี ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย”

เท่ากับมาช่วยการันตีว่า การปรับ ครม.ไม่เกิดขึ้นภายในเร็วๆ นี้แน่ เพราะคงไม่อยากให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมือง เพราะรัฐบาลกำลังเผชิญญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ คงต้องการให้เกิดความนิ่งในพรรคร่วมรัฐบาล
ส่วนประเด็นการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) ซึ่งพรรคประชาชน (ปชน.) เสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติม รธน.มาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 มีความเห็นที่น่าสนใจ จาก “นายธนกร วังบุญคงชนะ” รองหัวหน้าพรรค รทสช.และสส.บัญชีรายชื่อ ว่า การเสนอให้ตัดเงื่อนไขที่ต้องใช้เสียงเห็นร่วมด้วยของ สว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ออกไป และแทนที่ด้วยเสียงเห็นชอบจาก สส.ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 แทนนั้น ถือเป็นการริบอำนาจ หรือตัดทอนอำนาจของ สว.ลงอย่างชัดเจน ซึ่งขัดต่อเจตนารมณ์ของ รธน.เรื่องอำนาจหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาโดยสว. ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เห็นด้วยเพราะจะเป็นชนวนสร้างความขัดแย้งขึ้น ระหว่างสองสภาอย่างแน่นอน ที่สำคัญ รธน.มาตรา 156(15) ได้บัญญัติชัดเจน ให้การแก้ไขเพิ่มเติม รธน.ตามมาตรา 256 ต้องกระทำร่วมกันของรัฐสภา

นายธนกร กล่าวต่อว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ขอคัดค้านร่างแก้ไขของพรรค ปชน. ได้ตัดเงื่อนไขของการนำไปออกเสียงประชามติ ก่อนการทูลเกล้าฯ ในมาตรา 256 (8) ในกรณีเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 ที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติ หรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ตาม รธน.เรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่หรืออำนาจศาลหรือองค์กรอิสระนั้น ในฐานะ สส.พรรค รทสช.ย้ำจุดยืนชัดเจนมาตลอด ว่าแก้ไข รธน.ได้แต่ต้องไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 เพราะเขียนไว้อย่างดีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องไปแก้ไข ส่วนการเสนอให้ไม่ต้องจัดทำประชามติก่อนเสนอทูลเกล้าฯ นั้น สุดท้ายจะมีปัญหาเรื่องความชอบด้วย รธน.ตามมา เพราะเคยมีคำวินิจฉัยของศาล รธน.ที่ 4/2564 วินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานไว้แล้วว่า ในการแก้ไข รธน.ทั้งฉบับ ต้องจัดทำประชามติก่อนและหลังในการแก้ไข รธน.ทั้งฉบับถึง 3 ครั้ง
“หากพรรค ปชน.ดันทุรัง อาจสุ่มเสี่ยงที่ผู้เสนอร่าง และสมาชิกรัฐสภาที่ร่วมพิจารณา เนื่องจากไม่มีการจัดทำประชามติก่อนเสนอทูลเกล้าฯ อาจถูกร้องเอาผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 รวมทั้งเกี่ยวโยงปัญหาสมาชิกรัฐสภาฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรงและอาจถูกส่งให้ ป.ป.ช.ถอดถอนด้วย เชื่อว่าจะไม่ผ่านความเห็นชอบทั้งสองสภาไม่เอาด้วยกับกฎหมายที่สุ่มเสี่ยงแบบนี้แน่นอน ที่สำคัญพรรคร่วมรัฐบาล ย้ำจุดยืนเดิมชัดเจนมาตลอดว่าแก้ รธน. แต่ต้องไม่แตะหมวด 1-2” นายธนกร กล่าว

ด้าน “นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ” ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวถึงวันที่ 14-15 ม.ค. จะมีการประชุมร่วมรัฐสภาวาระพิจารณาร่างแก้ไข รธน.มาตรา 256 ว่าเราจะไปกำหนดอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ ต้องเคารพเสียงของ สว.แม้แต่ในพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องปรึกษาว่ามีความคิดเห็นอย่างไร ต้องเป็นความร่วมมือหลายฝ่าย เสียงของวุฒิสภาก็สำคัญว่า เราต้องพึ่งเขาเกือบ 70 เสียงที่โหวตให้ ขอหารือร่วมกันในที่ประชุมวิป 3 ฝ่าย วันที่ 8 ม.ค. ก่อน เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาเหมือนวุฒิสภาโดนข้อครหาว่ามีพรรคบางพรรคหนุนหลัง นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ไม่กล่าวหาท่าน ทุกอย่างต้องอาศัยความร่วมมือ ถึงจะแก้ รธน.ได้จริง ไม่ใช่พูดจะแก้เอาเท่ๆ แต่แก้ไม่ได้ พรรค พท.มีเจตนา เพราะเราได้สัญญาประชาคมไว้ว่า จะแก้ รธน.เพื่อให้เป็นประชาธิปไตยแต่มีแค่หมวด 1 และ 2 ที่เราจะไม่แตะต้อง ส่วนที่เหลือก็ให้เป็นหน้าที่สภาร่างรธน. (ส.ส.ร.) ถ้าแก้ก็ต้องแก้ได้จริง ประสานกันทุกฝ่ายถึงสำเร็จ หากไปตั้งธงว่าทุกคนต้องปฏิบัติตาม มันจะล้มไม่เป็นท่า
จับความเคลื่อนไหวพรรคร่วมรัฐบาล มีแนวโน้มว่า ร่างของแก้ไข รธน.ของพรรค ปชน. อาจไปต่อไปได้ยาก แม้กระทั่งถูกบรรจุวาระในวันที่ 14-15 ม.ค. เพราะการเสนอให้ตัดเงื่อนไขที่ต้องใช้เสียงเห็นร่วมด้วยของ สว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ออกไป และแทนที่ด้วยเสียงเห็นชอบจาก สส.ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 แทนนั้น ย่อมยากกับการได้รับความเห็นชอบจาก สว.หรือคำเตือนหากพรรค ปชน.ดันทุรัง อาจสุ่มเสี่ยงที่ผู้เสนอร่างและสมาชิกรัฐสภาที่ร่วมพิจารณาเนื่องจากไม่มีการจัดทำประชามติก่อนเสนอทูลเกล้าฯ อาจถูกร้องเอาผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 รวมทั้งเกี่ยวโยงปัญหาสมาชิกรัฐสภาฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรงและอาจถูกส่งให้ ป.ป.ช.ถอดถอนด้วย ถือเป็นคำเตือนที่ต้องนำมาขบคิดจริงๆ
“ทีมข่าวการเมือง”