เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 13 ม.ค. 68 ที่ สำนักบริหารกลาง สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการฯ อาคารเอ นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ “กัน จอมพลัง” พร้อมด้วยนายไพศาล เรืองฤทธิ์ หรือทนายไพศาล ได้พา พ.ท.กิตติพงษ์ ผ่องฉวี และ น.ส.บัวบูชา โรจน์ชนะภานิช เป็นบิดาและภรรยาของ จ.ส.อ.โรจชนะภณ โรจน์ชนะภานิช อายุ 31 ปี หรือ จ่าพั้นช์ นายสิบการข่าวกรมนักเรียนโรงเรียนทหารราบ ค่ายธนะรัชต์ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่เสียชีวิตจากการถูกนายจักรกฤษ หรือเซ็น วรวงศ์พาณิชกุล อายุ 34 ปี เป็นคณะกรรมการที่ปรึกษา กต.ตร.สภ.หัวหิน ใช้อาวุธปืนยิงเสียชีวิตเหตุเกิดที่ ร้าน TINY Club ซอยหัวหิน 80 ถนนเพชรเกษม เขตเทศบาลเมืองหัวหิน เมื่อเวลา 04.00 น. วันที่ 18 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา ไปร้องเรียนถึงอัยการสูงสุด เมื่อญาติผู้เสียชีวิตเกิดข้อสงสัยว่า มีการแทรกแซงคดีนี้ในชั้นอัยการหรือไม่
‘ที่ปรึกษา กก.ตร.’ ปืนดุยิงดับทหารในคลับ นักเที่ยวโดนลูกหลงเจ็บ 2 ราย
กัน จอมพลัง กล่าวว่า หลังที่จำเลยได้ก่อเหตุยิง จ่าพั้นช์ ถึงแก่ความตาย ทาง สภ.หัวหิน ดำเนินการสอบสวนภายใน 1 เดือน และส่งเรื่องไปยังอัยการ พอถึงชั้นอัยการได้มีข้อความบางข้อความที่ครอบครัวเห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจ ที่ผ่านมาทางครอบครัว จ่าพั้นช์ ไม่เคยได้รับความขอโทษจากฝ่ายผู้ก่อเหตุแต่กลับมีข้อความปรากฏในทำนองว่า เจอจ่ายจบ ตนได้ประสานทาง นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน และนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง อธิบดีอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย แนะนำว่า สามารถเข้ามายื่นร้องขอความเป็นธรรมได้ ตนจึงพาครอบครัวของผู้เสียชีวิตมาเขียนคำร้องพร้อมแนบเอกสารข้อมูลที่ไม่สบายใจว่ามีความไม่ชอบมาพากลหรือไม่ อยากให้ท่านอัยการสูงสุดกำชับเรื่องนี้ให้ดำเนินการอย่างตรงไป ตรงมา เกรงว่าจะมีการกดดันแทรกแซงในการทำงานของอัยการหรือไม่ ยืนยันว่าตนจะดูคดีนี้จนถึงที่สุด ไม่ว่าจะอีกกี่ปีก็จะทำให้จบ

น.ส.บัวบูชา ภรรยาจ่าพั้นช์ กล่าวว่า ตนได้ข้อความที่ติดใจ มีเนื้อหาทำนองว่า จ่าพั้นซ์มีอาการมึนเมาเข้าไปลวนลามจับก้นแฟนของจำเลยหลายครั้ง ทำให้จำเลยโมโหมีปากเสียงกัน และมีการท้าทายชกต่อยกัน จากนั้นจ่าพั้นช์ได้กระชากคอเสื้อจำเลย จำเลยจึงบันดาลโทสะชักปืนออกมายิงจ่าพันช์ ตนติดใจตรงประโยคนี้มาก เหมือนกับแฟนตนเป็นคนผิด ทั้งที่ไม่มีพยานหลักฐานแต่อย่างใด ขณะนี้ตัวผู้ก่อเหตุยังใช้ชีวิตตามปกติ ไม่มีการมาพูดคุย หรือมาเยียวยาแต่อย่างใด ตนไม่มีสามีอยู่แล้ว ขาดเสาหลักของบ้านไป ในขณะที่ฝ่ายผู้ก่อเหตุยังใช้ชีวิตตามปกติ ตนเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงต้องมาร้องกับอัยการสูงสุดวันนี้

นายไพศาล กล่าวว่า ในการยื่นร้องขอความเป็นธรรมในวันนี้ เป็นสิทธิของผู้เสียหาย ไม่มีการก้าวล่วงอำนาจศาล การร้องครั้งนี้ ต้องการทราบว่า มีการกดดันอัยการในคดี โดยทางอัยการเจ้าของสำนวนได้มีการพูดคุยกับทางผู้เสียหายต่อหน้าทนายความของตน โดยใช้คำว่ามีข้างบนสั่งมา ตนไม่ทราบความหมายว่าข้างบนนั้นหมายถึงใคร อาจจะไม่ใช่สำนักงานอัยการสูงสุดก็ได้ ตนอยากมาทราบเหตุผล เรื่องคำสั่งให้สอบเพิ่มและการเพิ่มข้อหาบันดาลโทสะแก่จำเลย แล้วอยากทราบว่าใครที่เป็นคนสั่ง จึงมาร้องขอความเป็นธรรม ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยคดีอาญา พ.ศ. 2563 มาตรา 65 ในสิทธิของผู้เสียหายและในฐานะทนายโจทก์ร่วม ตนรู้สึกสงสารเห็นใจครอบครัวผู้เสียชีวิต และเชื่อว่าอัยการในคดีนี้ ให้ความเป็นธรรมสูงสุด คดีนี้มีข้อสงสัย มีข้อพิรุธอย่างไรหรือไม่ สำนวนที่ออกมาไม่ตรงกับข้อเท็จจริงหรือไม่
“มั่นใจว่าอัยการเจ้าของสำนวนให้ความเป็นธรรม ยืนอยู่บนพยานหลักฐานอย่างแท้จริง แต่ตนแค่ตั้งข้อสงสัยว่า มีใครสั่งท่านหรือไม่ อย่างไร คดีนี้ผู้เสียชีวิตเป็นทหาร ก็อยากให้เกียรติกันหน่อย ตนทำคดีร่วมกับนายทหารพระธรรมนูญ ผู้บังคับบัญชาหน่วยของจ่าพั้นช์ก็ให้ดำเนินการเต็มที่ นี่ขนาดทหารตายยังโดนขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นประชาชนทั่วไปจะเป็นอย่างไร สุดท้ายตนและ กัน จอมพลัง ก็จะเดินเรื่องนี้ไปจนถึงที่สุด” นายไพศาล กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องบันดาลโทสะ แต่ผู้ก่อเหตุได้พกพาอาวุธปืนเข้าไปในผับนั้น มีความย้อนแย้งกันหรือไม่ ทนายไพศาล กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ตนสงสัยเช่นกัน แต่ตนเป็นทนายความในคดีนี้ ไม่ขอให้ความเห็นเรื่องนี้ได้ เนื่องจากคดีอยู่ในชั้นศาล แต่จะนำข้อสงสัยนี้ไปถามในชั้นศาลต่อไป.