ดร. เจเรมี ลอนดอน ศัลยแพทย์หัวใจผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกัน โพสต์คลิปวิดีโอผ่านช่องยูทูบของเขา อธิบายถึงวิธีง่ายๆ ที่ใช้ประเมินสุขภาพหัวใจของตนเองได้ที่บ้าน อีกทั้งใช้เวลาไม่นาน

คุณหมอลอนดอนอธิบายว่า  เราไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปกับการตรวจเลือด เอกซเรย์ หรือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) เพื่อตรวจสุขภาพหัวใจเสมอไป โดยแนะเทคนิคง่าย ๆ เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของหลอดเลือดแดงในร่างกายและระบุได้ว่ามีการอุดตันหรือไม่

ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มา 25 ปีชี้ว่า ก่อนอื่น เราต้อง “รับฟัง” ร่างกายของเรา โดยระบุว่า อาการแน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก และหายใจไม่ออก อาจเป็นสัญญาณเตือนที่น่าเป็นห่วง

นอกจากนี้ หากมีอาการปวดร้าวไปที่ขากรรไกรหรือแขนเมื่อออกแรง และอาการปวดร้าวเหล่านี้จะลดลงเมื่อหยุดพัก คุณหมอลอนดอนชี้ว่า อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า หลอดเลือดหัวใจของเรากำลังอยู่ในสภาพอุดตัน

“ลองสมมติสักหน่อยว่า หลอดเลือดแดงด้านหน้าหัวใจของคุณอุดตัน” เขากล่าวในคลิป “เมื่อคุณออกแรง บริเวณด้านล่างของเส้นเลือดที่อุดตันก็จะขาดเลือด ทำให้คุณเริ่มมีอาการเหล่านี้

“เมื่อคุณหยุดพัก แรงกดที่บริเวณนี้ของหัวใจจะลดลงและความเจ็บปวดก็จะหายไป” 

ตามข้อมูลของศูนย์ดูแลสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร อาการแบบนี้มักเกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งโดยปกติแล้วถือเป็นอาการเจ็บหน้าอกที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตซึ่งเกิดจากเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้น้อยลง แต่เป็นสัญญาณเตือนว่า เราอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมอง 

นอกจากนี้ อาการต่าง ๆ ที่กล่าวมายังถือเป็นอาการทั่วไปของโรคหลอดเลือดหัวใจ (CHD) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดหัวใจตีบลงเนื่องจากมีไขมันสะสมและเกาะอยู่ภายในผนังหลอดเลือด กระบวนการนี้ทำให้หลอดเลือดแดงแข็ง ขาดความยืดหยุ่นที่ควรจะมี และในที่สุดหลอดเลือดก็จะแคบลงจนไม่สามารถใช้เป็นเส้นทางส่งเลือดไปเลี้ยงหัวใจได้อย่างเพียงพอ

ข้อมูลจากรายงานวิจัยเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือดชี้ว่า ผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดแดงอุดตันหรือหลอดเลือดแดงแข็งจำนวนมากไม่เคยรู้ตัวว่ามีภาวะดังกล่าวจนกว่าจะมีอาการแสดงออกจนเป็นโรค เช่น โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน, อาการปวดแบบเป็นเหน็บที่แขนขาเพราะหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบตัน 

คุณหมอลอนดอนยังเสริมว่า “เห็นได้ชัดว่าการไม่มีภาวะดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าหลอดเลือดหัวใจของคุณไม่มีการอุดตันเสมอไป แต่หากเกิดอาการเหล่านี้ขึ้น คุณจำเป็นต้องไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ”

ที่มา : ladbible.com

เครดิตภาพ : Tumisu from Pixabay