นับเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์สำคัญของโลก สำหรับการกลับมาครองตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา สมัยที่ 2 อย่างเป็นทางการ ของ “โดนัลด์ ทรัมป์” หลังจากชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พ.ย.2567 ด้วยการยังประกาศคำสัญญา “ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง (Make America Great Again)” ซึ่งจะส่งผลต่อการค้าระหว่างประเทศ และอาจตามมาด้วยการเกิดสงครามการค้ากับชาติมหาอำนาจอื่นๆ อาทิ จีน กระทบกับเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก
นอกจากนี้ ในวันแรกที่ “ทรัมป์” รับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา ลงนามคำสั่งพิเศษ 200 ฉบับ ซึ่งมีหลายเรื่องที่ค่อนข้างสุดโต่ง ราวกับบ่งชี้ว่า“ประธานาธิบดีทรัมป์” เวอร์ชั่น 2.0 จะสั่นสะเทือนประชาคมโลกยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันย่อมส่งผลมากมายต่อประเทศไทยในหลายด้านเช่นกัน อาทิ ด้านเศรษฐกิจ นโยบายการต่างประเทศของไทยในยุครัฐบาลที่นำโดย “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ และกับประเทศอื่นๆ อีกทั้งสร้างความท้าทายให้ไทยต้องเร่งดำเนินการรับมือเพื่อรักษาสมดุลทางการเมืองและเศรษฐกิจของเราเองด้วย
และจากการที่ผู้นำสหรัฐฯ ยังชูนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน (America First)” ซึ่งมีหลักใหญ่ใช้มาตรการด้านเศรษฐกิจ และมาตรการด้านภาษี เพื่อดึงอุตสาหกรรมการผลิตกลับเข้าสู่สหรัฐฯ สร้างงานในประเทศ และปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯเป็นสิ่งแรก หลายฝ่ายในบ้านเราจึงพากันเสนอแนะให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลใช้เรื่องเศรษฐกิจและการลงทุนเป็นตัวนำในการผูกสัมพันธ์เจรจากับฝ่ายสหรัฐฯในยุค “ทรัมป์ 2.0” ควรโปรโมตแผนงานหรือโครงการของเอกชนไทยเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้สหรัฐฯลดความเข้มข้นของมาตรการที่มีต่อไทย
ทั้งนี้ “เกรียงไกร เธียรนุกุล” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) มองว่า มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ จะเข้มข้นขึ้น จึงขอเสนอว่ารัฐบาลไทยต้องมีล็อบบี้ยิสต์ที่เข้มแข็งในการเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์แบบวิน-วิน เพื่อให้ไทยได้ประโยชน์ และรับมือผลทางอ้อมจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อีกทั้งไทยต้องหาตลาดใหม่เพิ่ม เพื่อรองรับสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ
ขณะที่ “ปานปรีย์ พหิทธานุกร” อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ ระบุว่า แม้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯที่มีมายาวนานอาจไม่เปลี่ยนแปลง แต่ไทยต้องวางยุทธศาสตร์รับมือความผันผวน ซึ่งทางเลือกหนึ่งคือการเจรจาทวิภาคีกับสหรัฐฯ โดยอาจดำเนินการร่วมกับล็อบบี้ยิสต์ที่กรุงวอชิงตัน เพื่อขอจำกัดอัตราเพดานภาษี และไทยต้องเร่งกระชับความสัมพันธ์กับทุกขั้วอำนาจอย่างมียุทธศาสตร์ ซึ่งรวมถึงสหรัฐฯและจีน ตลอดจนความร่วมมือกับกลุ่มประเทศอาเซียน ประเทศอำนาจขนาดกลาง และประเทศที่เติบโตเร็ว เพื่อรักษาสถานะที่ไทยไม่เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร และต้องมีนโยบายการต่างประเทศที่รักษาสมดุลของโลกแบ่งขั้ว เพื่อให้เราสามารถปรับตัวเข้ากับโลกที่เปลี่ยนใหม่ได้
ถือได้ว่าเป็นเสียงเตือนให้รัฐบาลอย่าวางใจในสายสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯอันยาวนานกว่า 192 ปี หรือแม้แต่การที่“ทรัมป์” ต่อสายตรงพูดคุยกระชับมิตรกับ “นายกฯแพทองธาร” เป็นคนแรกๆ เพราะเรื่องเศรษฐกิจปากท้องไม่ใช่แค่เรื่องภายในประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เกี่ยวพันถึงเศรษฐกิจโลกและดุลอำนาจการเมืองโลก ซึ่งจะส่งผลวนมาสู่ประเทศไทยด้วย