สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากนครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 22 ม.ค. ว่า คดีความ 2 คดี ซึ่งยื่นฟ้องโดยรัฐทั้งหมด 22 แห่ง รวมถึงรัฐแคลิฟอร์เนีย และรัฐนิวยอร์ก มีขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังทรัมป์เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ และเปิดเผยคำสั่งฝ่ายบริหารชุดหนึ่งอย่างรวดเร็ว โดยเขาหวังว่า จะช่วยปฏิรูปการย้ายถิ่นฐานของชาวอเมริกันได้

ทั้งนี้ คำสั่งหนึ่งระบุถึงการยุติการให้สัญชาติโดยอัตโนมัติ กับเด็กต่างชาติทุกคนที่เกิดในสหรัฐ ซึ่งหากมีผลบังคับใช้ คำสั่งดังกล่าวจะห้ามไม่ให้รัฐบาลกลางออกหนังสือเดินทาง ใบรับรองสัญชาติ หรือเอกสารอื่น ๆ ให้กับเด็กที่มีมารดาอยู่ในประเทศอย่างผิดกฎหมายหรือชั่วคราว และมีบิดาที่ไม่ใช่พลเมืองสหรัฐ หรือเป็นผู้อยู่อาศัยถาวร

“คำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี ซึ่งพยายามเพิกถอนสัญชาติโดยกำเนิดนั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน” นายร็อบ บอนตา อัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าว “เรากำลังขอให้ศาลระงับการบังคับใช้คำสั่งข้างต้นทันที และทำให้แน่ใจว่า สิทธิของเด็กที่เกิดในสหรัฐ ซึ่งได้รับผลกระทบจากคำสั่งนี้ ยังคงมีผลระหว่างการดำเนินคดี หลังประธานาธิบดีใช้อำนาจเกินขอบเขต และเขาจะต้องรับผิดชอบ”

อนึ่ง คดีความดังกล่าว เกี่ยวข้องกับบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐครั้งที่ 14 โดยเนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า บุคคลทุกคนที่เกิด หรือแปลงสัญชาติในสหรัฐ รวมถึงอยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลของสหรัฐ ถือเป็นพลเมืองของสหรัฐ และพลเมืองของรัฐที่ตนเองอาศัยอยู่

แม้ทรัมป์กล่าวอ้างว่า สหรัฐเป็นประเทศเดียวในโลกที่มอบสัญชาติโดยอัตโนมัติ แต่ในความเป็นจริง มีหลายสิบประเทศที่ดำเนินการเช่นนั้น ซึ่งรวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างแคนาดา และเม็กซิโกด้วย.

เครดิตภาพ : AFP