สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับภาคประชาสังคมและนักวิชาการ จัดเสวนา ‘วิกฤติขยะพิษกับชีวิตประชาชน’ เพื่อสะท้อนปัญหาผลกระทบจากกากอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของประชาชนอย่างรุนแรงมาอย่างต่อเนื่อง

‘เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง’ ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ เปิดเผยว่า ปัญหากากอุตสาหกรรมเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ตั้งโรงงาน โดยมีการคุกคามและทำร้ายผู้ต่อต้านอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐในการควบคุมและบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการที่รัฐบาลส่งเสริมการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดช่องโหว่ให้ธุรกิจจัดการกากของเสียเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีการทุจริตคอร์รัปชั่นในการออกใบอนุญาตให้ตั้งโรงงานรีไซเคิล และกำจัดกากของเสียได้อย่างง่ายดาย

การยกเลิกกฎระเบียบที่กำหนดให้การกำจัดกากของเสียต้องทำโดยวิธีฝังกลบเพียงอย่างเดียว และการอนุญาตให้โรงงานประเภท 105 และ 106 ดำเนินการได้ภายใต้คำสั่ง คสช. ที่ 4/2559 ทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาของผู้ประกอบการจากต่างชาติที่นำเทคโนโลยีที่ไม่ทันสมัยมาใช้ และการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เข้มงวดของหน่วยงานท้องถิ่น

ภาคประชาสังคมจึงเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาโดยการปรับปรุงกฎหมายโรงงาน ป้องกันไม่ให้มีการอนุญาตให้ตั้งโรงงานรีไซเคิลและกำจัดกากของเสียที่มีมาตรฐานต่ำ และเร่งออกกฎหมาย PRTR เพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงการเคลื่อนย้ายสารมลพิษ นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมยังอยู่ระหว่างการร่างพระราชบัญญัติจัดการกากอุตสาหกรรม ซึ่งคาดว่าจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า

“ทั้งหมดนี้คือมรดกมลพิษที่เกิดจากการบริหารนโยบายอันผิดพลาดของรัฐบาล ที่คำนึงถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยไม่ได้นึกถึงต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อม รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหาโดยการปรับปรุงพระราชบัญญัติโรงงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น ใบอนุญาตประกอบโรงงานจะต้องมีการต่ออายุ สนับสนุนการออก พ.ร.บ การรายงาน รวมถึงเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ หรือกฎหมาย PRTR ที่ร่างโดยภาคประชาชน ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการแก้ไขปัญหามลพิษที่ต้นเหตุ” เพ็ญโฉม กล่าวต่อ

นอกจากนี้ ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศยังแสดงความกังวลต่อสถานการณ์โรงงานประเภท 105 และ 106 โดยเรียกร้องให้กระทรวงอุตสาหกรรมทบทวนและระงับการออกใบอนุญาตชั่วคราว เนื่องจากพบว่ามีบริษัทนายหน้าเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการขอใบอนุญาต และปล่อยให้ผู้ประกอบการจากต่างประเทศ เช่น จีน เข้ามาเช่าพื้นที่ดำเนินกิจการ ซึ่งหากเกิดปัญหาหรือความผิดพลาดใดๆ จะยากต่อการดำเนินคดีตามกฎหมาย เนื่องจากผู้เช่าสามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ทำให้ชุมชนโดยรอบต้องแบกรับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ด้าน ‘ขนิษฐนันท์ อภิหรรษากร’ รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า สำนักงานฯ ให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน โดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญในการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนและเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยสามารถส่งข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง หรือเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าว ตัวอย่างกรณีที่สำนักงานฯ ได้ดำเนินการไปแล้ว คือ กรณีการปนเปื้อนมลพิษจากโรงงานแว็กซ์ กาเบ็จ รีไซเคิล เซ็นเตอร์ จำกัด ที่จังหวัดราชบุรี ซึ่งสำนักงานฯ ได้ส่งข้อเสนอแนะไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาแล้ว

อย่างไรก็ตาม สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจสั่งการหน่วยงานใดโดยตรง แต่มีหน้าที่หลักในการตรวจสอบข้อเท็จจริง และเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาเพื่อให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรม

ขณะที่ ‘สนธิ คชวัฒน์’ อาจารย์มหาวิทยาลัยและตัวแทนชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย เผยว่า ประเทศไทยมีปริมาณขยะจากกากอุตสาหกรรมอยู่ที่ประมาณ 25 ล้านตัน ซึ่ง 19.8 ล้านตัน สามารถนำไปกำจัดได้อย่างเหมาะสม ส่วนที่เหลือยังไม่ทราบแหล่งกำจัดที่ชัดเจน ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่าขยะเหล่านี้ได้รับการจัดการอย่างถูกต้องหรือไม่ ประกอบกับในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีเหตุเพลิงไหม้ในโรงงานหลายแห่ง เช่น เหตุการณ์ที่โรงงานรีไซเคิล วิน โพเสส จังหวัดชลบุรี ซึ่งสร้างมลพิษทางอากาศอย่างรุนแรงต่อชุมชนใกล้เคียง สาเหตุสำคัญมาจากการมีโรงงานรับกำจัดกากอุตสาหกรรมจำนวนมากที่มีประสิทธิภาพต่ำ ขาดระบบบำบัดมลพิษที่ได้มาตรฐาน และการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เข้มงวด ทำให้เกิดการลักลอบฝังกากอุตสาหกรรมในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงการลักลอบนำเข้ากากอุตสาหกรรมจากต่างประเทศ

เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงเสนอให้รัฐบาลเร่งยกเลิกคำสั่ง คสช. ที่ 4/2559 เพื่อจำกัดการขยายตัวของโรงงานประเภทนี้ และแก้ไขกฎหมายให้มีการวางเงินประกันและจัดตั้งกองทุนเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ ควรปฏิรูประบบอนุญาตและการเคลื่อนย้ายกากอุตสาหกรรมให้มีความโปร่งใสมากขึ้น โดยเปิดเผยข้อมูลการจัดการกากของแต่ละโรงงานให้สาธารณชนได้ตรวจสอบ

ด้านภาครัฐ ‘ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี’ ประธานคณะที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการโรงงาน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเตรียมเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดการกากอุตสาหกรรม พ.ศ. … ต่อคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า เพื่อเป็นเครื่องมือในการกำกับดูแลโรงงานอุตสาหกรรมให้มีมาตรฐานที่สูงขึ้น โดยเฉพาะโรงงานประเภท 105 และ 106 ซึ่งจะอยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายฉบับนี้โดยตรง นอกจากนี้ ร่างพระราชบัญญัติดังกลายังครอบคลุมถึงการจัดการกากอุตสาหกรรมทุกประเภท รวมถึงขยะอิเล็กทรอนิกส์

เพื่อเป็นการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวยังได้กำหนดให้มีการจัดตั้งกองทุนอุตสาหกรรมยั่งยืน โดยใช้เงินตั้งต้นจากกองทุน SME ประชารัฐ จำนวน 2 หมื่นล้านบาท เพื่อลดภาระทางการคลังของรัฐบาล ทั้งนี้ กองทุน SME ประชารัฐยังคงดำเนินการอยู่ เพียงแต่ขยายขอบเขตการดูแลไปยังผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษด้วย

ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมคาดว่าพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวจะได้รับการประกาศใช้ภายในปี 2568 และจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมมีการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืน