เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 5 ก.พ. ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ภานพ วรธนัชชากุล ผบก.น.8 รรท.ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ช่วยราชการ บก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.คธาธร คำเที่ยง รอง ผบก.ตม.3 หรือโฆษก สตม. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว 4 คดีสำคัญ
คดีที่ 1 สตม. รวบชายผิวสีแดนหมอผีหลอกขายดอลลาร์หวังเชิดเงิน สืบเนื่องจาก กก.1 บก.สส.สตม. ได้ทำการสืบสวนเกี่ยวกับพฤติกรรมของชายผิวสีหลอกลวงขายเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยมีการเสนอขายผ่านทางเว็บไซต์เพื่อให้คนที่สนใจติดต่อซื้อ มีการโชว์เงินดอลลาร์สหรัฐฉบับของจริง และเสนอขายฉบับละ 100 ดอลลาร์ในราคาเพียง 20 ดอลลาร์ โดยเมื่อมีคนสนใจก็จะติดต่อกันผ่านทางไลน์และจะส่งสินค้าที่เป็นรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐให้กับลูกค้าดู และถ้าลูกค้าต้องการก็จะให้โอนเงินวางมัดจำก่อน 20 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อได้เงินมัดจำจากลูกค้าแล้วก็จะหนีไป เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สส.สตม. จึงทำการล่อซื้อ ก่อนจับกุมตัว MR.TENKEU (สงวนนามสกุล) อายุ 53 ปี สัญชาติแคเมอรูน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร พร้อมกับขึ้นบัญชีเป็นบุคคลต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร และจะได้ผลักดันส่งกลับประเทศแคเมอรูนต่อไป
คดีที่ 2 สตม.จับหัวหน้าแก๊งผิวสีหลอกขายเม็ดทองปลอม สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความ หลังถูกแก๊งค์คนต่างชาติชาวผิวสีจำนวน 3 ราย หลอกให้ลงทุนซื้อขายทองคำ แล้วถูกแอบสลับเงิน นำธนบัตรดอลลาร์สหรัฐปลอมมาแทนเงินกว่า 1.1 ล้านบาท จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 2 ราย และสามารถจับกุมได้ 1 ราย และได้ทำการเร่งล่าผู้ต้องหาอีก 1 รายคือ นาย Bobby (นามสมมติ) อายุ 30 ปี สัญชาติไลบีเรีย ก่อนที่จะสามารถจับกุมได้ ซึ่งนาย Bobby มีบทบาทสำคัญในการหลอกขายเม็ดทองคำปลอม โดยทำหน้าที่เป็นคนนัดหมายเจรจาการซื้อขาย พาผู้เสียหายไปโรงหลอมเพื่อพิสูจน์เม็ดทอง เป็นคนบอกให้ผู้เสียหายแลกเงินดอลลาร์ไว้สำหรับการซื้อขายเม็ดทอง จึงได้ทำการจับกุมตามหมายจับนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ดำเนินคดีตามกฎหมาย อีกทั้งผู้ก่อเหตุอีก 1 ราย ที่ไม่ได้ถูกออกหมายจับ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการเพิกถอนวีซ่าและส่งตัวกลับไปเป็นที่เรียบร้อย
คดีที่ 3 สตม.รวบลุงมะกันหื่น Overstay สืบเนื่องจาก กก.4 บก.สส.สตม. ได้รับแจ้งว่ามีคนต่างด้าวน่าสงสัยว่าจะอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาต สิ้นสุด (OVERSTAY) จึงสืบสวนจนพบคนต่างด้าวดังกล่าว ปรากฏตัวในจ.นครราชสีมา จึงได้ขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง พบว่าไม่มีหนังสือเดินทางแสดงต่อเจ้าหน้าที่ จึงได้เชิญตัวมายังตม.จว.นครราชสีมา เพื่อตรวจสอบลายนิ้วมือในระบบ Biometric พบว่าคนต่างด้าวดังกล่าวคือ นายเนกรี (สงวนนามสกุล) อายุ 57 ปี สัญชาติอเมริกัน ซึ่งการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดแล้ว จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด และจับกุมดำเนินคดี ทั้งนี้จากการตรวจสอบข้อมูลกับสำนักงานสอบสวนกลาง สถานเอกอัครราชทูตอเมริกา ประจำประเทศไทยพบว่า นายเนกรี เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของมลรัฐจอร์เจีย และหน่วยงาน FBI ในคดีแสวงหาผลประโยชน์จากเด็กและเผยแพร่ภาพอนาจารเด็กลงสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมลรัฐจอร์เจีย และ FBI ต้องการตัวกลับไปดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว
คดีที่ 4 สตม. รวบชาวเวียดนามรอบขายกัญชา ยึดของกลางกว่า 300 กก. สืบเนื่องจากวันที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา มีหญิงสาวคนหนึ่งชาวเวียดนามขอความช่วยเหลือ คือในขณะที่กำลังเดินผ่านช่องตรวจของ ตม. หญิงสาวคนนี้ได้ยื่นโทรศัพท์มือถือให้กับเจ้าหน้าที่ โดยในโทรศัพท์มีข้อความระบุว่า “ไม่ได้ต้องการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย และโดนหลอกให้ไปทำงานฝั่งเมียนมา” เจ้าหน้าที่จึงได้เชิญตัวหญิงสาวคนนั้นมาสอบถามเพิ่มเติม ได้ความว่า มีคนใช้ Facebook ชื่อ sam (แซม) ชักชวนให้ไปทำงานที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งภายหลังทราบว่าเป็นคนจีน ใช้ Facebook ปลอม เมื่อไปถึงฟิลิปปินส์ก็มีการหลอกให้ทำงานที่เกี่ยวกับพนันออนไลน์ในฟิลิปปินส์ ต่อมาได้มีการชักชวนชาวเวียดนามคนอื่นๆอีกประมาณ 5 คน โดยทุกคนไม่รู้จักกัน มาที่ประเทศไทย เมื่อถึงสนามบินไทย หญิงสาวจึงสังเกตว่ามีชาวจีนอีกจำนวน 2 คนที่เป็นผู้จัดการเรื่องการเดินทาง และมีการคุยกันว่าจะเดินทางต่อไปที่อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อข้ามแดนไปยังเมียนมา หญิงสาวจึงพิมพ์ข้อความและส่งให้เจ้าหน้าที่สนามบินตรวจสอบขอความช่วยเหลือ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะคุมตัวชาวเวียดนาม 4 รายไว้ได้ ส่วนอีก 1 รายได้หลุดเข้าไปในประเทศไทยแล้ว ขณะที่ชาวจีนอีก 2 รายได้เดินทางออกไปยังประเทศจีน
ทางตำรวจจึงได้ทำการสืบสวนติดตามชาวเวียดนามที่หลุดเข้ามายังประเทศไทย จนทราบว่า ชาวเวียดนามคนดังกล่าวได้ไปที่บ้านหลังหนึ่ง ในซอยลาดพร้าว 107 จึงได้มีการเฝ้าติดตาม และได้ขอศาลออกหมายค้น จากการตรวจค้นพบ ในบ้านหลังดังกล่าวพบว่ามีชาวต่างด้าวทั้งหมด 7 ราย และพบของกลางเป็นช่อดอกกัญชาจำนวนกว่า 300 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 10,000 บาท รวมมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท พร้อมของกลางหลายรายการ โดยทั้งหมดมีความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายหรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย 2542 และเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตทำงาน ก่อนนำตัวทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สน.ลาดพร้าว ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป