ตามนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ให้ทำการสืบสวนจับกุมอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมทั้งยกระดับมาตรการป้องกันชายแดนปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ ซึ่งตำรวจภูธรภาค 2 โดย พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.ภ.2 เปิดยุทธการอรัญฯ 68 SEAL BORDER สกัดกั้นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามแนวชายแดนในพื้นที่ จว.สระแก้ว ซึ่งอยู่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยให้อยู่ประสานงานร่วมมือกับทุกภาคส่วน ตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ตรวจค้นบุคคลและยานพาหนะต้องสงสัย ตรวจค้นบ้านของผู้มีพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการนำพาคนข้ามแดน สืบสวนสอบสวนขยายผลทุกกรณี

ต่อมา เมื่อวันที่ 26 ม.ค.68 ตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว ได้ทำการช่วยเหลือเหยื่อหญิงชาวไทย ที่ถูกหลอกลวงไปทำงานในแก๊งคอลเซนเตอร์ โดยเหยื่อสาวได้ส่งข้อความขอความช่วยเหลือมายังศูนย์ประสานงานชายแดน และได้มีการประสานงานช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกัมพูชา จนสามารถรับตัวเหยื่อสาวรายดังกล่าวเดินทางกลับประเทศไทยได้อย่างปลอดภัย จากการสืบสวนสอบสวนทำให้ทราบว่าขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้มีการหลอกลวงเหยื่อและพาไปเปิดบัญชีเพื่อใช้เป็นบัญชีม้าหลายบัญชี ก่อนที่จะพาข้ามแดนไปบังคับให้สแกนใบหน้าเพื่อทำธุรกรรมทางการเงิน โดยได้มีการพาไปชี้จุดลักลอบข้ามแดนตามช่องทางธรรมชาติ ข้างห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งแถวตลาดโรงเกลือ อีกทั้งส่งข้อมูลต่างๆภายในออฟฟิศแก๊งคอลเซ็นเตอร์เพื่อประโยชน์ในการสืบสวนไว้ด้วย

สืบสวนจังหวัดสระแก้ว ร่วมกับสืบสวนภาค 2 รวบรวมพยานหลักฐานพบผู้ร่วมขบวนการสำคัญ คือ นายกฤตธัช (สงวนนามสกุล) มีส่วนร่วมในการเป็นธุระจัดหา พาเหยื่อสาวไปเปิดบัญชีม้า ก่อนที่จะส่งให้ขบวนการแก๊งคอลเซนเตอร์พาข้ามแดนไป จึงได้รวบรวมหลักฐานส่งพนักงานสอบสวน สภ.คลองลึก เพื่อออกหมายจับในข้อหาเป็นธุระจัดหาบัญชีม้าฯตามหมายจับศาลจังหวัดสระแก้ว และในวันที่ 8 ก.พ.68 เวลาประมาณ 16.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจังหวัดสระแก้ว ได้ติดตามจับกุมตัว นายกฤตธัช ผู้ต้องหาตามหมายจับได้ในพื้นที่อ.บางกรวย จ.นนทบุรี และตรวจยึดของกลางรถยนต์ Toyota Fortuner ซึ่งใช้ในการพาเหยื่อเดินทาง นำส่ง สภ.คลองลึก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และจะได้ทำการขยายผลถึงขบวนการแก๊งคอลเซนเตอร์ต่อไป

โดยตำรวจภูธรภาค 2 ขอประชาสัมพันธ์ข้อกฎหมายว่าการกระทำความผิดของ นายกฤตธัช ผู้ต้องหาในคดีนี้ เป็นความผิดในข้อหา “เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด ต้องระวางโทษจำคุก 2-5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000 – 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” และจากพฤติการณ์ดังกล่าว ซึ่งจัดหาบัญชีม้า และหลอกเหยื่อเพื่อข้ามแดนไปทำงานในแก๊งคอลเซนเตอร์ที่มีออฟฟิศตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ตำรวจภูธรภาค 2 จะทำการสืบสวนขยายผลเพื่อดำเนินคดีในข้อหาหนัก คือ “มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 4 – 15 ปี หรือปรับตั้งแต่ 80,000 – 300,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ” และดำเนินการยึดทรัพย์ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ต่อไป