กรณีเหตุฆาตกรรม 3 ศพ พ่อแม่ลูก นายวงศกร อายุ 37 ปี น.ส.นันทกานต์ อายุ 35 ปี และน้องซันเดย์ ลูกชายอายุ 7 ขวบ อำพรางศพยัดใส่รถกระบะจอดผ้าคลุมทิ้งไว้ในบ้านร้างริมถนนพื้นที่ อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร จากการชันสูตรศพ พบว่าทั้ง 3 คน ถูกยิงที่ศีรษะจนเสียชีวิต ก่อนคุมตัว นายศิวกร หรือโน๊ต เพื่อนน้องชายสอบ ก่อนยอมเปิดปากสารภาพ ฆ่ายกครัว 3 พ่อแม่ลูกเสียชีวิตในรถ อ้างฉุนเอาปืนไปจำนำแล้วไม่ได้เงิน ตร .ไม่ปักใจเชื่อทำเพียงคนเดียว เร่งสอบสวนขยายผล นั้น

เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ช่วงบ่ายของวานนี้ (15 ก.พ. 68) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัว นายศิวกร และ นายนิรุธ หรือเข้ ผู้ต้องหาที่ร่วมกันฆาตกรรมอำพราง ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยขณะที่คุมตัวออกจากห้องประชุมเพื่อขึ้นรถตู้ตำรวจ ทีมข่าวพยายามสอบถามทั้งคู่ว่าอยากจะขอโทษคนตายไหม แล้วทำไมถึงกล้าฆ่าเด็ก 7 ขวบได้ลงคอ ทำไมเมื่อวานถึงยังปากแข็งว่าไม่ใช่ผู้ต้องหา แต่ทั้งคู่ไม่ตอบอะไร ก่อนจะขึ้นรถตู้ไป ขณะเดียวกันบรรยากาศที่โรงพัก ก็เต็มไปด้วยญาติของคนตายและชาวบ้านนับร้อยที่เดินทางมาสังเกตุการณ์ ต่างก็ตะโกนถามว่าทำไมถึงฆ่าเด็กได้ลงคอ และด่าทอใส่ผู้ก่อเหตุ

เมื่อเดินทางไปยังจุดที่ 1 คือบริเวณบ้านร้างจุดพบศพ ก็ปรากฏว่าบรรดาครอบครัวคนตายรวมถึงชาวบ้านนับร้อย ต่างก็พากันมารุมตะโกนด่าสาปผู้ต้องหาด้วยความคับแค้นใจ โดยเฉพาะนายศิริชัย ที่เป็นน้องชายของผู้ตายฝ่ายหญิงและเป็นเพื่อนของนายศิวกร ก็พยายามที่จะเข้าไปหา นายศิวกร ที่กำลังโดนคุมตัวทำแผนอยู่บริเวณบ้านร้าง แต่เจ้าหน้าที่กันไว้ทัน เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัว นายศิวกร ลงจากรถตู้ เพื่อเดินทางไปยังบริเวณบ้านร้างจุดพบศพ ทีมข่าวก็พยามสอบถามถึงสาเหตุในการฆ่าทั้ง 3 ศพเป็นเพราะอะไร และการฆ่าเด็กเป็นเหตุปืนลั่นจริงหรือไม่ รวมถึงถามว่าอยากขอโทษผู้ตายหรือเปล่า แต่เจ้าตัวก็ยังคงเงียบ ไร้ซึ่งคำขอโทษ

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้รถกระบะของตำรวจแทนรถของผู้ตายไปจอดตรงจุดพบรถกระบะ แล้วให้ นายศิวกร จำลองเหตุการณ์ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าจุดนี้ทั้ง 3 คนได้เสียชีวิตหมดแล้ว ก็เลยทำการปลดสร้อยของ น.ส.นันทกานต์ ที่จุดนี้ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกจากจุดนี้ไปฝั่งซ้ายประมาณ 800 เมตร เพื่อให้ญาติมารับกลับบ้าน รวมถึงเป็นจุดที่เจ้าตัวเอาผ้าคลุมรถมาคลุมไว้ในวันที่ 17 ม.ค. 68 เพื่ออำพรางด้วย ระหว่างนั้นทีมข่าวพยามสอบถามความรู้สึกกับเจ้าตัวตรงจุดนี้ ทั้งถามว่าอยากจะขอโทษไหม และ สาเหตุแรงจูงใจ เจ้าตัวได้แต่ยืนนิ่ง และมองกลุ่มผู้สื่อข่าวที่กำลังถาม แต่ไม่ได้ตอบคำถามใดใด ท่ามกลางเสียงด่าทอของชาวบ้านและครอบครัวของผู้เสียชีวิตที่มายืนสังเกตการณ์

กระทั่งเจ้าหน้าที่คุมตัว นายศิวกร กลับขึ้นรถตู้ทีมข่าวพยามถามแล้วถามอีก แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ตอบอะไร ทั้งนี้ก่อนที่จะตำรวจจะคุมตัว นายศิวกร ออกจากจุดบ้านร้าง พบว่าบริเวณริมถนนปากทางเข้าก็ยังคงเต็มไปด้วยกองทัพชาวบ้านและญาติของผู้เสียชีวิตที่มายืนตะโกนด่า โดยเฉพาะความโกรธแค้นที่ผู้ก่อเหตุฆ่าเด็กได้ลงคอ และการตีเนียนกลับมาดูในวันพบศพด้วยท่าทีนิ่งเฉย ถือว่าจิตใจเหี้ยมโหดมาก และพยายามจะกรูเข้าไปดูหน้า แต่ตำรวจก็กันไว้ ก็เลยกลายเป็นเหตุชุลมุนขึ้น

ต่อมาจุดที่ 2 ที่มีการทำแผน คือบริเวณจุดพบเลือดกลางทุ่งนา ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่ นายศิวกร ก่อเหตุยิง นายวงศกร ตามพฤติการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแถลง แต่เนื่องจากมีบรรดาครอบครัวและชาวบ้านมารอสังเกตการณ์เยอะ พร้อมกับมีการตะโกนด่าผู้ก่อเหตุเป็นระยะๆ และเป็นพื้นที่โล่ง เจ้าหน้าที่เกรงว่าจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จึงยกเลิกการทำแผนในจุดนี้ ก็เลยไม่ได้คุมตัว ศิวกร ลงจากรถ ส่วน นายนิรุธ เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้พาลงทำแผนในจุดนี้ แม้ว่าเจ้าตัวจะมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงก็ตาม เนื่องจากนายนิรุธ เปลี่ยนใจไม่ประสงค์ที่จะทำแผน เพราะกลัวจะถูกรุมประชาทันฑ์และเจ้าหน้าที่ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

ตรงจุดนี้มีเพียงแค่ พ.ต.อ.เอนก จันทร์ศร รอง ผบก.ภ.จว.กำแพงเพชร เปิดเผยพฤติการณ์จุดนี้กับทางผู้สื่อข่าว ว่า ปืนที่ใช้ก่อเหตุเป็นปืนบีบีกัน ดัดแปลงซิกซาวเออร์ .380 โดย นายศิวกร ซื้อมาจากอินเตอร์เน็ตราคา 7,000 บาทและได้เอาไปจำนำกับ นายวงศกร ในราคา 7,500 บาท แล้วยังบอกอีกว่าจุดนี้ตัวของ น.ส.นันทกานต์ ได้มีการแย่งปืนจาก นายศิวกร รอบแรก แล้วโยนลงคลองเล็กๆใกล้กับจุดที่พบคราบเลือด แต่ตัวของ นายศิวกร ลงไปหยิบกลับคืนมาและบังคับให้ น.ส.นันทกานต์ กับลูกขึ้นรถไปนั่งที่เบาะข้างคนขับ โดยใช้ปืนจี้ พร้อมกับระบุว่าเรื่องของการขายทองก็มีหลักฐานเป็นสลิปที่ทางร้านโอนเงินให้กับ นายศิวกร ส่วนทองที่ นายศิวกร ได้ไปก็คือทองของ น.ส.นันทกานต์ ผู้เสียชีวิต น้ำหนัก 3 บาท ขายได้เงินมา 123,500 บาท ทางร้านโอนให้ 120,000 บาทและอีก 3,500 บาทให้เป็นเงินสด

อย่างไรก็ตาม ใส่วนจุดอื่นๆ เช่น จุดยิง น.ส.นันทกานต์ และลูก รวมถึงจุดยิงปืน เจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำแผน เนื่องจากเกรงว่าครอบครัวผู้ตายและชาวบ้านจะตามมารุมประชาทัณฑ์

ขณะเดียวกัน นายบอล หรือโป๊งเหน่ง น้องชายของ น.ส.นันทกานต์ และเคยเป็นเพื่อนของนายโน๊ต เดินทางมาดูการทำแผนฯในครั้งนี้ พูดประณามการกระทำของผู้ก่อเหตุ ยันเอาเรื่องให้ถึงที่สุด พร้อมลั่น ทำอะไรไว้ขอให้ได้อย่างนั้น ส่วนจุดเกิดเหตุคือจุดที่ฆาตรกรรม มีชาวบ้านมารอดูเหตุการณ์และตะโกนด่าทอ จนทำให้ไม่สามารถทำแผนได้เช่นกัน.