เรียกได้ว่าห่างหายจากวงการไปนานพอสมควรเลย สำหรับนักแสดงหนุ่ม “อ้วน รังสิต” พระเอกวัย 40 ที่ขึ้นแท่นเป็นคุณพ่อลูกหนึ่ง “น้องโรฮา” ลูกชายสุดที่รักของตนและภรรยาชาวเกาหลี “ปาร์ค ฮยอน ซอน” หรือ “มะม่วง” ซึ่งถ้าใครติดตามโซเชียลของหนุ่มอ้วน ก็จะเห็นความน่ารักและพัฒนาการของน้องโรฮากันอยู่เสมอ จนเรียกได้ว่าทุกคนที่รับชมต้องโดนตกทุกรายนั้น

ล่าสุด อ้วน รังสิต ควงภรรยาสาวชาวเกาหลี น้องมะม่วง พร้อมเปิดตัวลูกชายวัย 4 ขวบ น้องโรฮา เผยวิธีการเลี้ยงลูกที่ต่างกันสุดขั้ว จนต้องบินข้ามน้ำ ข้ามทะเล ไปปรับความเข้าใจกันมาแล้ว แถมพ่ออ้วนยังยอมรับว่าเคยติสท์แตกเลือกรับงานอีกด้วย ซึ่งทั้งคู่ได้มาเปิดใจผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่องOne31

อ้วน รังสิต เผยว่า “ตอนนี้ น้องโรฮา อายุ 4 ขวบ ถามว่าพูดได้กี่ภาษา กับผมคุยภาษาไทย คุยกับแม่ก็ภาษาเกาหลี เล่นคนเดียวก็ภาษาอังกฤษ เพราะเขาเรียนโรงเรียนอินเตอร์ ก็จะพูดภาษาอังกฤษ ส่วนตัวผมที่ไม่พูดเกาหลี ซึ่งตัวเรามันเข้าใจยาก หรือเราไม่อยากเรียน จริงๆ แล้วเขาไม่ตั้งใจสอนเราด้วย คือทุกเรื่อง สามี-ภรรยา มันสอนกันไม่ได้ แต่ผมก็พอฟังภาษเกาหลีได้ครับ ได้เป็นคำนิดหน่อย ไม่เยอะ แต่ตัวน้องโรฮาจะชอบภาษาเกาหลีมากกว่าภาษาไทย และเขาก็เป็นล่ามให้กับผม เขาจะรู้สึกภูมิใจและชอบมากเลยที่จะเป็นล่ามให้ผม เพราะว่าเขารู้ว่าผมพูดไม่ได้ เขาจะรู้สึกว่าเขาอยากจะแสดงศักยภาพช่วยพ่อ ซึ่งนิสัยของน้องโรฮาจะได้ครึ่งๆของเราสองคน แต่เหมือนแม่เขาเป็นคนมีความยืดหยุ่นต่ำ แต่จริงๆ ก็นิสัยเด็ก หรือว่าแม่นิสัยเด็กก็ไม่รู้ สมมติว่าชอบอะไร จะไปที่ไหนคือไม่เปลี่ยน แต่อย่างโรฮา เขาจะเป็นคนที่ค่อนข้างคุยรู้เรื่อง แต่เราต้องใช้จิตวิทยาในการคุยหน่อย แต่ถ้าเราไปใช้อารมณ์โกรธกับเขา เขาจะไม่ค่อยฟัง และพอวัฒนธรรมต่างกัน ไทย-เกาหลี เวลาสอนลูก มันต้องมาจูนกัน ซึ่งจริงๆ เราอยู่ด้วยกันตลอด ช่วยกันเลี้ยง แต่ว่าเรื่องของการเลี้ยงค่อนข้างต่างกันสุดขั้วเลย เพราะว่าผมเนี่ยอยากจะเลี้ยงแบบปล่อย ลุยๆ ให้แข็งแรง แต่ทางคุณแม่ก็อีกแบบนึง จะเป็นแนวประคบประหงมหน่อย รักษาความสะอาดมาก”

มีเรื่องนึงที่ผมชอบขัดคำสั่งภรรยา นั่นคือตามใจลูก ทั้งกินไอติม ทั้งน้ำเย็น อย่างเรื่องกินไอติม น้ำเย็น ผมจะดูเป็นสถานการณ์มากกว่า แต่ถ้าอยู่กับแม่โอกาสที่จะได้กินแทบจะเป็นศูนย์ ผมอยากให้เขามีชีวิตเหมือนเด็กทั่วไป ก็ให้กินบ้าง แต่ไม่เยอะหรอก แต่ถ้าแม่เขารู้ เขาจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ซึ่งเหตุผลที่ไม่ให้ลูกดื่มน้ำเย็น เพราะหมอบอกว่าเขาเป็นหอบหืด อะไรเย็นๆ ต้องระวังหน่อย ส่วนถามถึงความหวานของผมกับมะม่วงหลังจากมีลูกแล้ว เมื่อวานเพิ่งหวาน เพิ่งให้ดอกไม้ แต่ความสวีทก็มีลดลงเพราะโฟกัสไปที่ลูก คือมันก็น้อยลงกว่าสมัยอยู่ 2 คนแหละ เพราะว่า เราก็เหมือนโฟกัสลูก แต่เราก็รักเขาเหมือนกัน ซึ่งช่วงหลังงอนกันเราไม่ค่อยสนใจ ตอนนี้เราเรียนรู้ว่าเราใช้ความเงียบ สยบความเคลื่อนไหว มีปัญหาอะไรก็นิ่งไว้ เงียบไว้ดีกว่า ซึ่งมันก็ดีกับตัวเรา แล้วดีกับตัวเขาด้วยนะ เพราะว่าเวลาที่โกรธมันไม่มีเหตุผลที่จะใช้คุยกัน ใช้แต่อารมณ์ เราเรียนรู้มาแล้ว ใช้ความเงียบดีกว่า ส่วนในเรื่องภาษามีส่วนที่ทำให้ทะเลาะกันด้วย มันจะคุยกันเข้าใจ 100% ไม่ค่อยเท่าไหร่ แล้วช่วงนี้มะม่วงเขาก็มีน้อยใจผม แล้วเขาก็พูดว่าชีวิตเราไม่มีเขาแล้ว จริงๆ มีอยู่ตลอดนะครับ แต่ว่าเขาอาจจะเข้าใจผิด ก็อยู่ด้วยตลอด คิดถึงเขาตลอด ดูแลตลอด แต่ในเรื่องความหวานเหมือนเมื่อก่อนมันก็เป็นเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อยู่แล้วตามปกติ แต่สิ่งที่เขาบอกว่าผมเป็นแบบนี้ เขาเป็นยิ่งกว่านะ ที่บอกว่ารักลูกจนไม่สนใจอีกคนนึงเนี่ย คนเป็นแม่ เป็นยิ่งกว่าอีกนะ แล้วช่วงนี้มะม่วงหึงมาก คือตอนนั้นน่าจะเล่นไอจี พอเขาเข้ามา ดันเลื่อนไปพอดี เลยรีบปิด เราก็บอกว่าเราไม่ได้ดูอันนี้นะ เขาบอกว่าถ้าไม่ได้ดูพวกนี้มันขึ้นฟีดมาได้ยังไง ผมเลยบอกว่าบางช่วงผมก็ต้องหาเสื้อผ้าให้กับยู ส่วนแพลนที่จะย้ายไปเกาหลี ผมคิดว่า ณ ตอนนี้น่าจะเหมาะกว่า แต่สำหรับเขา เขามองว่าเหมาะที่จะอยู่เมืองไทยมากกว่า

ซึ่งการรับงานเคยมีช่วงนึงที่หลายคนบอกติสท์แตกมาก จริงๆ ผมเริ่มตกงานมาตั้งแต่ก่อนโควิดด้วยนะ ช่วงนั้นเป็นช่วงเปลี่ยนวัย ยังไม่พร้อมที่จะไปรับอะไรที่มันเปลี่ยนแปลงเยอะ เลยจะเลือก แต่พอเลือกไป เลือกมามันค่อยๆ หายไป แต่ว่าตอนนั้นก็ยังไม่ได้สนใจอะไร เพราะเรามีงานอินฟลูด้วย เราเลยมาเน้นงานอินฟลูมากกว่า จนตอนหลังงานอินฟลูเริ่มดาวน์ลง เพราะมีอินฟลูเยอะมาก ช่วงหลังๆ เลยทำให้การงานน้อยลง แล้วความพยายามก็ต่ำด้วย ซึ่งตอนนี้ความรู้สึกดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว ตอนนี้ก็ประกาศออกสื่อว่ารับทุกงาน ถ้าพุฒ (ดีเจพุฒ) ไม่รับงานอะไรก็ส่งมาทางผมได้ ตอนนี้รับงานทุกอย่างในวงการเพราะ คิดว่าโอกาสปฏิเสธต่ำมากครับ ทุกอย่างตอนนี้เพื่อครอบครัว”

ปาร์ค ฮยอน ซอน หรือ มะม่วง เผยว่า “สอนภาษาเกาหลีลูกชายตั้งแต่ 2 ขวบ แต่ไม่สอนสามีเพราะ เดี๋ยวจะโกรธ อารมณ์เสีย เขาไม่ฟังด้วย ขี้เกียจด้วย ไม่ต้องสอนดีกว่า เดี๋ยวทะเลาะกัน ซึ่งนิสัยของน้องโรฮาจะได้ครึ่งๆของเราสองคน แต่ขี้งกเกินเหมือนพ่อ โรฮาไม่ค่อยดื้อ เรียบร้อย ส่วนคุณพ่อคือ ดื้อสุดปวดหัวค่ะ เหมือนลูก 2 คนค่ะ ซึ่งส่วนใหญ่เราจะดุลูก คือ ต้องมีมารยาท เขวี้ยงของไม่ได้ ซึ่งพอวัฒนธรรมต่างกัน ไทย-เกาหลี เวลาสอนลูก มันต้องมาจูนกันปกติมะม่วงสกปรกมาก เหมือนผู้ชายเลย แต่พอหลังโควิดมันอันตรายทุกอย่างเลย ทุกอย่างต้องสะอาด จะได้ไม่ต้องไปโรงพยาบาลบ่อยๆ นี่กลัวมาก ไปโรงพยาบาลคุยกับหมอยากด้วย ก็เลยไม่อยากไปโรงพยาบาล ก็เลยต้องสะอาดตลอด คิดแบบนี้ และช่วงนี้ฝุ่นเยอะเราก็จะไม่ให้ลูกไปโรงเรียน เพราะเขาเป็นหอบหืดด้วย ถ้าฝุ่นเยอะไม่ส่งโรงเรียนดีกว่า ถ้ามีข่าวว่าโรงเรียนมีใครป่วย ก็หยุดเรียนเหมือนกัน

ส่วนพอมีลูกความหวานของเราสองคนก็หวานอยู่ค่ะ มะม่วงน่ารักจังเลย แล้วก็พูดดีๆ ถามว่าเราทั้งคู่บอกรักกันบ่อยไหม จริงๆ มะม่วงพูดได้ แต่เขาไม่ค่อยพูดนะคะ เวลาเราพูด เขาก็ไม่พูดกลับด้วย ก็น้อยใจมาก หลังจากนี้ไม่พูดละ ซึ่งถ้าวันนี้ให้บอกรักกัน ก็รักนะ ซึ่งเวลางอนกัน ก่อนหน้านี้ถ้ามะม่วงโกรธ เขามาง้อก็ดี แต่ช่วงนี้มะม่วงโกรธ ไม่สนใจเลย แต่เขาอดทน เงียบ ก็ดีขึ้น แต่เราเป็นคนต้องคุยก่อน ส่วนในเรื่องของภาษาเป็นส่วนที่ทำให้เราทะเลาะกันด้วย อย่างเช่น เวลาทะเลาะกัน เขาคนไทย ภาษาไทย 100% แต่ว่ามะม่วงยังไม่เก่ง บางครั้งเขาพูดเร็วๆ แต่มะม่วงต้องคิดด้วย บางครั้งมะม่วงเหมือนโรคจิต กรี๊ดเลย แล้วเขาเป็นคนพูดไม่ฟังด้วย เขาพูดคนเดียว อธิบายยาก ซึ่งช่วงนนี้เราก็มีน้อยใจเขาด้วย เพราะช่วงนี้เขารักลูกมาก ก็เลยถามเขาชีวิตไม่มีมะม่วงแล้ว แต่ก็เข้าใจเขา แล้วคือช่วงนี้เราหึงสามีมากเป็นพิเศษ ยิ่งตอนอยู่ห้องเขาเล่นโทรศัพท์ พอเราเข้าไปเขาก็รีบปิดเลย ส่วนแพลนจะมีย้ายไปเกาหลีไหมคือมะม่วงชินอยู่เมืองไทยแล้วค่ะ ชอบอาหารไทยมาก”