เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2568 ที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังรวมประชุมกับทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามตรวจสอบประเด็นร้อนชาวอิสราเอล ใน อ.ปาย ว่า ได้รับการยืนยันจากส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ว่าสถานการณ์เป็นปกติทุกอย่าง มีการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว และสร้างรายได้เพิ่มเข้ามาเป็นจำนวนมาก ส่วนข้อกังวลว่าจะมีการสร้างชุมชนอิสราเอล ใน อ.ปาย เป็นการสื่อสารที่ไม่ถูกต้อง ใน อ.ปาย มีชาวอิสราเอลที่มาตั้งถิ่นฐานมาแต่งงานกับชาวไทย เพียง 20 กว่าครอบครัว ดำรงชีวิตปกติ ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล ก็มาท่องเที่ยว อาจมีความแตกต่างทางวัฒนธรรมบ้าง ทางทูตอิสราเอลจะรับไปทำความเข้าใจ เช่น การแต่งกายในไทยจะทำอย่างไรให้กลมกลืน ผสมผสาน ไม่ให้เกิดความไม่สบายใจ ยืนยันว่าไม่มีการกระทำใดๆ ที่จะก่อให้เกิดการจารกรรม สร้างเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง สำหรับโบสถ์ชาบัด พบว่ามีการจดทะเบียนเป็นมูลนิธิถูกต้อง อยู่ในรั้วรอบขอบชิด ไม่ได้ห้ามคนไทยเข้า เป็นสถานที่สาธารณะ แต่วัฒนธรรมประเพณีของชาวอิสราเอลมีอยู่พอสมควรและเคร่งมาก จึงจัดให้มีโบสถ์ชาบัดสำหรับนักท่องเที่ยวอิสราเอล เปรียบเสมือนศาสนสถานไว้ประกอบพิธี เหมือนมัสยิดของศาสนาอิสลาม เหมือนวัดของศาสนาพุทธเป็นเรื่องภายใน ไม่ได้เปิดมาเพื่อขายของแสวงหากำไร เราก็ได้บอกไปแล้วว่าถ้าจะทำแบบนี้ต้องไปจดทะเบียนเป็นภัตตาคารให้ถูกต้องตามระเบียบ ซึ่งเขาปฏิเสธว่าไม่มีวัตถุประสงค์ในการทำเป็นร้านอาหาร แต่เป็นที่ที่ให้คนอิสราเอลที่เคร่งศาสนามาประกอบศาสนากิจ ทุกอย่างก็จบด้วยดี

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ในที่ประชุมเรื่องเน้นย้ำเรื่องการสร้างความสงบ และให้ความเป็นธรรมกับนักท่องเที่ยว และผู้ประกอบการห้างร้านอำเภอปายก็ขอให้ช่วย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยววัยรุ่นสั่งอาหารแต่ชักดาบไม่ยอมจ่าย หาว่าอาหารไม่ถูกต้องไม่ถูกปาก ทำไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าเบี้ยวก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ได้กำชับเจ้าหน้าที่แล้วว่าสามารถลงสำรวจในพื้นที่ ให้เกิดความเรียบร้อยและความสงบสุข

เมื่อถามถึงประเด็นดรามาบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ นายอนุทิน กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่มีอุโมงค์ เป็นบ่อน้ำที่ให้สตรีชาวอิสราเอลชำระร่างกายเพื่อความบริสุทธิ์ เป็นเรื่องความเชื่อทางศาสนา เป็นบ่อน้ำแน่นอน ไม่ใช่อุโมงค์หรือสระว่ายน้ำ ข่าวก็เห็นแล้ว อาจจะต้องทำความเข้าใจ รวมทั้งการติดสติกเกอร์ในที่สาธารณะ ซึ่งเราก็ขอร้องแล้วว่าติดสติกเกอร์ผู้เสียชีวิต ก็ขออยู่ในที่มิดชิด อย่าติดที่อื่นโดยเฉพาะที่สาธารณะ ซึ่งท่านทูตอิสราเอลก็ยืนยันรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก จะคุยกับผู้คุมหากเป็นเรื่องความเชื่อทางศาสนาวัฒนธรรม ก็ขอให้ดำเนินการในสถานที่มิดชิด ไม่เกิดความกังวลต่อประชาชน

เมื่อถามว่า โบสถ์ชาบัดถูกจดเป็นมูลนิธิ แต่ว่าใช้เป็นศาสนสถานผิดวัตถุประสงค์หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เขาไม่ได้เป็นวัด เป็นมูลนิธิ ซึ่งมูลนิธิก็รับผิดชอบในเรื่องของอาคาร มีการซื้อขายอย่างถูกต้อง ดูแล้วไม่ได้เป็นที่ที่ห้ามใครเข้า แต่ถ้าเราไม่เกี่ยวข้อง เราจะเข้าไปทำไม นอกจากจะเข้าไปดู

เมื่อถามว่า นอกจากอำเภอปายแล้ว ยังมีพื้นที่อื่นหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ในส่วนที่เข้าข่ายฐานทำตัวเป็นขาใหญ่ ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล เป็นนักเลง ข่มเหงรังแกชาวบ้าน แย่งลูกค้ากัน ยึดลูกค้ากัน ขอยืนยันว่าไม่มี กระทรวงมหาดไทยยุคนี้ไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เราทำได้ทุกจังหวัด ยืนยันว่าขาใหญ่ไม่มี โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่จะมาอาศัยความสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ และมาทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ตนให้คำยืนยันว่าเกิดขึ้นไม่ได้

ด้านนางออร์นา กล่าวว่า รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ หลังเห็นป้ายห้ามคนอิสราเอลเข้าร้านในพื้นที่สาธารณะหรือร้านอาหาร ทำให้หวนนึกถึงประวัติศาสตร์ที่เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับชาวยิว ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และวันนี้ได้พบกับนายอนุทิน และมีความร่วมมือกันที่ดี มั่นใจว่าจะสามารถหาแนวทางหรือทางออกร่วมกันได้ แม้ว่าภาพลักษณ์ของนักท่องเที่ยวอิสราเอลในโซเชียลมีเดีย ถึงจะเป็นแค่กลุ่มเล็กๆ แต่คนไทยก็ให้ความสนใจจนเกิดเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาเยือนไทยประมาณ 300,000 คน/ปี มาท่องเที่ยวเรียนรู้วัฒนธรรมและผ่อนคลายกับบรรยากาศธรรมชาติ ในประเทศที่สวยงามเช่นนี้ ในประเทศที่ได้ชื่อว่าดินแดนแห่งรอยยิ้ม ซึ่งภายหลังจากข่าวนี้ออกไป กลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมจะลดลง และสถานการณ์ทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลก็จะมาท่องเที่ยวในไทยมากขึ้น

นางออร์นา กล่าวต่อว่า ส่วนมาตรการควบคุมนักท่องเที่ยว ทางสถานทูตได้มีการออกประกาศในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขอร้องให้นักท่องเที่ยวประพฤติตัวให้เหมาะสมเป็นไปตามวัฒนธรรมที่ดีงามของไทย ซึ่งประกาศอันนี้กระจายไปทั่วในกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสราเอลในไทยและโซเชียลมีเดียในช่องทางต่างๆ ของสถานทูต ซึ่งเมื่อนักท่องเที่ยวรับทราบถึงประกาศอันนี้ ก็เริ่มมีพฤติกรรมที่เหมาะสมขึ้นเพราะรู้สึกห่วงใยคนไทย แม้บางครั้งการมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ก็ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดบางอย่าง แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็อยากจะมาพักผ่อนและรู้สึกดื่มด่ำกับบรรยากาศในประเทศไทย ดังนั้นนักท่องเที่ยวก็อยากรู้สึกเป็นที่ต้อนรับและไม่ก่อให้เกิดการฝ่าฝืนหรือละเมิดต่อกัน และขอยืนยันว่านักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล ก็มีประเทศเป็นของตนเอง ไม่ต้องการที่จะยึดครองประเทศไทย เราแค่ต้องการมาท่องเที่ยวเท่านั้น และกลับไปที่ประเทศของเรา

หลังจากนั้น นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มีใครสามารถยึดครองประเทศไทยได้ และเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ก็ย้ำเช่นกัน

นายอนุทิน กล่าวถึงมาตรการการจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม อาทิ พฤติกรรมมึนเมาของนักท่องเที่ยว การสูบกัญชา ว่าได้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน และนายอำเภอปายไปแล้ว ให้เร่งดำเนินการ เช่น การออกใบอนุญาต ที่ต้องคำนึงถึงคนในพื้นที่ เพราะ อ.ปาย เป็นเมืองสงบ ไม่ใช่ว่าคนมาเยอะจะต้องสูญเสียอัตลักษณ์ไป ตนไม่อยากเห็นเมืองที่สงบ มีวัฒนธรรมดีงาม จะต้องเปลี่ยนรูปแบบไป

เมื่อถามถึงกรณีที่นักท่องเที่ยวในกิจกรรมล่องลำน้ำปาย ทิ้งบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงน้ำนั้น นายอนุทิน กล่าวว่า สำนึกต้องมี ขณะเดียวกันผู้ประกอบการก็ต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน ตามที่มาตรการของจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้กำหนดออกมา หากพบว่าท่องเที่ยวทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม เสียหายต่อสาธารณะ ธรรมชาติ ก็ต้องปรับผู้ประกอบการด้วยเช่นกัน

“การที่จังหวัดออกมาตรการการห้ามนักท่องเที่ยวสูบบุหรี่และกัญชาในพื้นที่ถนนคนเดินปาย ซึ่งเป็นแหล่งพื้นที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของอำเภอปาย ว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ซึ่งตามกฎหมายก็ห้ามสูบในพื้นที่สาธารณะอยู่แล้ว” นายอนุทิน กล่าว.