ช่วงนี้ เทรนด์การดื่ม “มัทฉะ-ชาเขียว” กำลังมาแรงมาก ด้วยกระแสการบอกต่อถึงที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ จึงทำให้ความนิยมของเครื่องดื่มชนิดนี้พุ่งแบบก้าวกระโดด แม้เป็นของดีมีสรรพคุณอย่างไร แต่หากบริโภคมากจนเกินไป ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อร่างกายได้เช่นกัน
“โรงพยาบาลเพชรเวช” บอกเล่าเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการดื่มชนิดนี้ โดยชาเขียวเป็นชาที่ไม่ผ่านการหมัก โดยการนำใบชาสดมาผ่านความร้อนทำให้แห้งอย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบัน ชาเขียวได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะผ่านการปรุงแต่งรสชาติให้มีความอร่อย และหาซื้อได้สะดวก
สำหรับสารที่อยู่ในชาเขียว ประกอบด้วย กรดอะมิโม วิตามินบี วิตามินซี วิตามินอี คาเฟอีน ธิโอฟิลลีน สารอีพิกัลโลคาเทชินกัลป์เลต
ชาเขียวที่มีคุณภาพจะได้จากใบชาคู่ที่ 1 และใบชาคู่ที่ 2 ที่เก็บจากยอด ส่วนสี กลิ่น และรสชาติของชานั้น ขึ้นอยู่กับปริมาณของสารคาเทชินที่มีอยู่ในชา ขณะที่ลักษณะของสีน้ำชา ถ้าชงชาจากใบชา จะให้น้ำชาออกสีเหลืองอ่อนไปจนถึงสีเขียวอ่อน
ชาเขียวมีกี่แคลอรี
ชาเขียวมีหลายประเภท บางประเภทก็ให้พลังงานที่ต่ำ บางประเภทก็มีปริมาณน้ำตาลที่สูง
@ ใบชาสำหรับชงดื่ม ให้พลังงาน 0 แคลอรี
@ ชาเขียวแบบถุงสำหรับชงดื่ม ขนาด 1.8 กรัม ให้พลังงาน 0 แคลอรี
@ ชาเขียวแบบผงสำหรับชงดื่ม ให้พลังงาน 22 แคลอรี
@ ชาเขียวแบบขวดตามร้านสะดวกซื้อ ขนาด 250 มิลลิลิตร ให้พลังงาน 60 แคลอรี

ประโยชน์ของชาเขียว
1.เพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมัน และลดคอเลสเตอรอล เพราะชาเขียวมีส่วนช่วยในการเพิ่มอัตราการเผาผลาญแคลอรี 4 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งสารสกัดจากชาเขียวสามารถเพิ่มการออกซิเดชั่นของไขมันได้ 17 เปอร์เซ็นต์ เหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก
2.ป้องกันโรคเบาหวานประเภทที่ 2 โดยชาเขียวมีส่วนช่วยในการเพิ่มความไวของอินซูลิน และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
3. ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง สำหรับผู้ที่ดื่มชาเขียวทุกๆวัน หรือมีพฤติกรรมการจิบชาเขียวในแต่ละมื้ออาหารเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้
4.เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของสมอง ชาเขียวจะมีคาเฟอีน ที่ช่วยในการกระตุ้นการทำงานของสมอง และมีกรดอะมิโนแอล-ธีอะนีน (Amino acid L-theanine) ที่ช่วยเพิ่มการทำงานของสารสื่อประสาทกาบา (GABA) ที่รักษาความสมดุลของระบบสื่อประสาท ทำให้สมองผ่อนคลาย ลดความเครียด นอนหลับสนิท
5.ป้องกันโรคสมองเสื่อม ชาเขียวจะมีสารประกอบของคาเทชิน มีส่วนช่วยในการป้องกันเซลล์ประสาท ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะสมองเสื่อมได้
6.ป้องกันโรคมะเร็ง โดยชาเขียวจะมีสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) มีส่วนในการลดความเจริญเติบโตของเนื้องอก เช่น มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง มะเร็งรังไข่ มะเร็งต่อมลูกหมาก รวมทั้งมะเร็งลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก

ข้อควรระวังในการดื่มชาเขียว
1.ชาเขียวมีคาเฟอีน หากดื่มมากเกินไป อาจทำให้หัวใจเต้นเร็ว นอนไม่หลับ คลื่นไส้ ท้องเสีย ผู้ป่วยโรคหัวใจ และเบาหวานควรระมัดระวังในการดื่ม
2. หากผู้หญิงตั้งครรภ์ดื่มชาเขียว อาจส่งผลทำให้เกิดภาวะแท้งบุตรได้ รวมถึงกรณีของแม่ที่ให้นมบุตร คาเฟอีนในชาเขียว จะส่งผ่านน้ำนมไปยังบุตรได้
3.ผู้ป่วยที่รับประทานยาวาร์ฟารินควรระมัดระวัง เพราะชาเขียวมีวิตามินเค ที่ทำลายลิ่มเลือดของยานี้ อาจทำให้เกิดการอุดตันตามอวัยวะต่างๆได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลอดเลือดสมอง และหัวใจ
4.ชาเขียวจะมีสารเทนนิน ที่ดูดซึมธาตุเหล็กในอาหาร อาจทำให้ขาดธาตุเหล็ก และเป็นโรคโลหิตจาง
การดื่มชาเขียวอย่างเหมาะสม
1.การดื่มชาเขียวควรดื่มไม่เกิน 4-5 ถ้วยต่อวัน เพราะถ้ามากกว่านั้น อาจทำให้ได้รับคาเฟอีนเกิน 200 มิลลิกรัม และส่งผลกระทบต่อร่างกายได้
2.ควรดื่มชาเขียวระหว่างรับประทานอาหาร และหลังการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อ จะทำให้จะทำให้อิ่มง่าย ไม่หิวบ่อย ช่วยลดการกินอาหารจุบจิบได้ สามารถลดน้ำหนักได้ผลเช่นกัน
3.ควรเลือกชาเขียวที่ชงจากถุง หรือชาเขียวที่เป็นใบชาสำหรับชงดื่มเท่านั้น หากเลือกบริโภคแบบขวดตามร้านสะดวกซื้อ จะมีปริมาณน้ำตาลที่สูง ไม่ควรดื่มบ่อยๆ.