ลิซ่า มอร์ฟี วัย 45 ปี คุณแม่ชาวอังกฤษมีลูกชายมาแล้ว 3 คน ก่อนจะได้ลูกสาวสมใจอยาก เธอและลูกชายเลือกชื่อให้ลูกสาวคนนี้ว่า “สโนว์ไวท์”
“เรารู้ว่าเธอจะเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยของเรา เมื่อลูกชายของฉันแนะว่าเราควรเรียกเธอว่า ‘สโนว์ไวท์’ ฉันก็คิดว่ามันยอดเยี่ยมมาก” มอร์ฟีกล่าวกับผู้สื่อข่าว
แม้ว่าครอบครัวมอร์ฟีจะถูกใจชื่อของลูกสาววัย 5 ขวบคนนี้มาก แต่โชคไม่ดีที่ไม่ใช่ทุกคนจะรู้สึกเหมือนกัน

คุณแม่ลูกสี่คนนี้เปิดเผยว่าการเช็กอินที่สนามบินกับลูกสาวของเธอ “อาจเป็นเรื่องยุ่งยาก” และเธอมักจะสังเกตเห็นว่า “ผู้คนหันมามองหรือกระซิบกระซาบ” เมื่อเธอเรียกชื่ออันโดดเด่นของลูกสาวในที่สาธารณะ นอกจากนี้ เธอยังโดนคนอื่นๆ รุมวิจารณ์และกล่าวเตือนเรื่องชื่อของลูกสาว
“ทุกคนคิดว่าฉันบ้า” เธอสารภาพและเสริมว่า “แต่ฉันไม่แคร์”
มอร์ฟียืนยันว่าลูกสาวของเธอรักชื่อนี้มากและนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอ
นอกจากคนนอกครอบครัวที่ตำหนิเรื่องชื่อนี้แล้ว มอร์ฟียังบอกว่าพ่อแม่และพ่อแม่สามีของเธอเองก็ไม่เห็นด้วยที่จะตั้งชื่อให้ลูกว่าสโนว์ไวท์
“คนรุ่นเก่าไม่เข้าใจจริงๆ” เธอกล่าว มอร์ฟีอธิบายว่าปู่ย่าตายายของเด็กหญิงสโนว์ไวท์คิดว่า ต่อไป เธออาจจะโดนบูลลี่หรือกลั่นแกล้งเพราะชื่อที่ไม่เหมือนใครของเธอ

แต่สโนว์ไวท์ตัวน้อยไม่เคยกังวลเรื่องนี้ “เธอชอบชื่อนี้นะ ถ้าคนอื่นเรียกเธอว่าสโนว์เฉยๆ เธอจะเข้าไปแก้ให้พวกเขา และบอกทุกคนว่าเธอเป็นเจ้าหญิง” คนเป็นแม่กล่าว
“ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าใจเรื่องนี้ แต่เราเลี้ยงดูเธอให้ภูมิใจในชื่อของตัวเอง และเธอก็มั่นใจในตัวเองมาก” มอร์ฟีอธิบายว่า สโนว์ไวท์ตัวน้อยมักจะ “ทำตัวเหมือนเจ้าหญิงในบ้านที่เต็มไปด้วยเด็กผู้ชาย” เช่น เธอสั่งให้วิลเลียม พี่ชายวัย 16 ปี อุ้มเธอลงบันไดในตอนเช้า
ครอบครัวมอร์ฟีเล่าเรื่องสโนว์ไวท์เพื่อให้เธอรู้จักที่มาของชื่อของตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก และตอนนี้เธอก็มีห้องนอนธีมสโนว์ไวท์พร้อมชุดคอสตูมมากมาย
แม้ว่าในตอนนี้ภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่นเรื่อง “สโนว์ไวท์” ของดิสนีย์ซึ่งนำแสดงโดยเรเชล เซกเลอร์และกัล กาด็อต จะได้รับคำวิจารณ์เชิงลบและทำรายได้ไม่ดีนัก ตั้งแต่ออกฉายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ผู้ชมตัวน้อยที่มีชื่อเดียวกับตัวเอกของเรื่องก็ยังคงกระตือรือร้นที่จะไปชมภาพยนตร์
มอร์ฟีชี้ว่า ลูกสาวคนเล็กของเธอตื่นเต้นมากที่จะไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้พร้อมกับครอบครัวในสัปดาห์หน้า และได้รู้ว่าชื่อของเธอไม่ใช่ชื่อที่แต่งขึ้นมาลอยๆ
ที่มาและเครดิตภาพ : nypost.com