นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 3 เม.ย.68 ตนในฐานะ รมว.พาณิชย์ จะมีการลงนามความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย – ภูฏาน หลังผ่านการเห็นชอบจาก ครม.เรียบร้อยแล้ว โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และดาโช เชริง โตบเกย์ นายกรัฐมนตรีของภูฏาน ร่วมเป็นสักขีพยาน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาคการค้า และผู้บริโภคของทั้งสองประเทศจะได้ประโยชน์ทางการค้าอย่างเต็มที่จากการยกเว้นภาษีระหว่างกันทั้งสองประเทศ

“การลงนามเอฟทีเอดังกล่าว ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งเจรจาจัดทำ เอฟทีเอ กับประเทศคู่ค้าต่าง ๆ เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการส่งออกสินค้าของไทย ซึ่งจะเป็น เอฟทีเอ ฉบับที่ 2 ที่มีการลงนามนับตั้งแต่ตนเข้ามารับตำแหน่ง และเป็นเอฟทีเอ ฉบับที่ 17 ของไทย โดยภูฏานให้ความสำคัญกับการค้ากับไทยเป็นอย่างมาก เพราะถือเป็นเอฟทีเอ ฉบับแรกของภูฏานกับประเทศนอกกลุ่มเอเชียใต้”

นอกจากนี้ ปี 68 ไทยตั้งเป้าปิดดีลเอฟทีเอ อีกหลายฉบับ ได้แก่ ไทย-สหภาพยุโรป, อาเซียน-แคนาดา, ไทย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, ไทย-เกาหลีใต้ ซึ่งหากประสบความสำเร็จทั้งหมด ไทยจะสามารถเปิดประตูการค้าได้มากถึง 53 ประเทศ โดยการเพิ่มจำนวนเอฟทีเอ จะช่วยให้ไทยกระจายความเสี่ยงทางการค้า เสริมศักยภาพการส่งออก และดึงดูดการลงทุนได้มากขึ้นในสาขาที่สอดรับกับการพัฒนาประเทศในอนาคต

ทั้งนี้ ในปี 67 การค้าระหว่างไทยและภูฏานมีมูลค่า 460.47 ล้านบาท โดยไทยส่งออกไปภูฏาน 457 ล้านบาท และนำเข้าจากภูฏาน 3.47 ล้านบาท สินค้าส่งออกสำคัญของไทย อาทิ ยานพาหนะและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูป เตาอบไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน เครื่องดื่ม และผลไม้กระป๋องและแปรรูป และสินค้านำเข้าสำคัญของไทย อาทิ ผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผักและผลไม้ เครื่องบิน เครื่องร่อนอุปกรณ์การบินและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ไม้ซุง ไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ และเครื่องดื่มประเภทน้ำแร่ น้ำอัดลมและสุรา