จากกรณีผลของคำพิพากษาศาลอาญาทุจริต เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568  ตัดสินยกฟ้อง 4 คณะกรรมการ (บอร์ด) คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กับพวก รวม 5 คน ว่าไม่ผิดฐานปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ ปมซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกมูลค่า 600 ล้านบาท และการลงคำสั่งเปลี่ยนรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช.

ตามที่ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ และรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง โดยเหตุแห่งการยกฟ้อง ก็เพราะการที่จำเลย 4 กสทช. ขอเปลี่ยนตัวรักษาการเลขาธิการ กสทช. ก็เพราะการดำเนินการของโจทก์ ที่อาจขัดต่อมติของบอร์ด กสทช. และมีมติของคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการดำเนินการของสำนักงาน กสทช. เกี่ยวกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2022 ให้ตรวจสอบโจทก์

หลังศาลมีข้อวินิจฉัยว่ามติดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมาย และชี้แจงประเด็นและปัญหาในการแต่งตั้งรองเลขาธิการฯ ในการประชุม กสทช.ครั้งที่ 11/2568 เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ทางพล.อ.ท.ธนพันธ์ุ หร่ายเจริญ กรรมการ กสทช. ได้เสนอต่อที่ประชุมเพื่อขอให้นายสรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช.พิจารณาดำเนินการตามมติ วาระที่ 5.22 ของที่ประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2566 สรุปว่า การกระทำของจำเลย 4 กสทช. เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย และ มติ กสทช.ได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบของ กสทช. ซึ่งส่งผลให้ต้องปฏิบัติตามมติที่เกี่ยวข้องดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้

1. เปลี่ยนตัว รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการ ซึ่งคือนายไตรรัตน์จนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น

2. แต่งตั้งรองเลขาธิการ กสทช.สายงานกระจายเสียงฯ ได้แก่ นายภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ ขึ้นเป็นผู้รักษาการแทนเลขาธิการ

3. สำนักงาน กสทช.ดำเนินการแต่งตั้ง คกก.สอบสวนทางวินัย ตามระเบียบการบริหารงานบุคคลฯ

พล.อ.ท.ธนพันธุ์ ได้เสนอว่า มติ กสทช. ดังกล่าวซึ่งได้มีการรับรองและไม่เคยถูกทบทวนหรือเพิกถอนแต่อย่างใด มีผลตามกฎหมายและผูกพันคู่กรณีต้องปฏิบัติตามแล้วตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2566 ซึ่งประธาน กสทช. ไม่ให้จดบันทึกการประชุมในเรื่องดังกล่าว แจ้งว่ายังไม่ได้รับหนังสือและยังไม่ถึงที่สิ้นสุด

นอกจากนี้ ยังได้มีข้อสังเกตถึงการที่ยังคงให้นายไตรรัตน์ทำหน้าที่รักษาการเลขาธิการ กสทช. ทั้งที่ บอร์ด กสทช. มีมติให้เปลี่ยนรักษาการเลขาธิการ กสทช.ไปแล้ว รวมทั้งแม้ว่าที่ประชุม กสทช. นัดพิเศษ ครั้งที่ 1/2567 เมื่อ 17 มกราคม 2567 มีมติไม่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการสรรหาเลขาธิการ ทั้งที่บอร์ด กสทช.หลายคนได้มีหนังสือเร่งรัดให้มีการบรรจุวาระเพื่อสรรหาเลขาธิการ กสทช.ใหม่ไปหลายครั้ง ทำให้ตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ว่างเว้นมาจะครบ 5 ปี นับตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2563

ทั้งนี้ นายไตรรัตน์ที่เข้าสู่ตำแหน่งรองเลขาธิการ กสทช.สายงานยุทธศาสตร์โดยการรับสมัครเป็นการทั่วไปตามสัญญาจ้างและจะสิ้นสุดสัญญาใน 30 เมษายน 2568 นี้ มีประเด็นและปัญหาในข้อกฎหมายมากมาย เช่น มีคำสั่งแต่งตั้งนายไตรรัตน์เป็นพนักงานประจำ โดยไม่ผ่านบอร์ด กสทช. จากกรณีที่นายสุทธิศักดิ์ ตันตะโยธิน รองเลขาธิการ กสทช. ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งนายไตรรัตน์เป็นพนักงานประจำ แต่ต่อมาได้ขอยกเลิกคำสั่งที่ตนเองลงนามเนื่องจากมีประเด็นข้อกฎหมายว่ามีอำนาจที่ได้รับมอบหรือไม่

ซึ่งเมื่อกรรมการบอร์ด กสทช. ทราบจากข่าวหลายสำนัก ได้ขอให้สำนักงาน กสทช.ชี้แจงและรายงานให้ที่ประชุม กสทช. ร่วมกันพิจารณา แต่เนื่องจากข้อสั่งการของประธานกสทช. และการไม่อนุมัติวาระฯ เข้าสู่ที่ประชุม กสทช. โดยประธาน กสทช. ชี้แจงว่าสำนักงานฯ ได้ดำเนินการถูกต้องตามระเบียบแล้ว ทำให้คำสั่งข้างต้นเกิดประเด็นปัญหาในข้อกฎหมายและระเบียบของ กสทช.

ในกรณีการประเมินผลการปฏิบัติงาน นายไตรรัตน์เป็นการล่วงหน้าก่อนถึง 7 เดือน ซึ่งปกติต้องประเมินเมื่อครบสัญญาจ้าง ดังนั้นประเด็นและปัญหาในข้อกฎหมายนี้ สมควรได้รับการชี้แจงให้ชัดเจน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีคำสั่งต่อระยะเวลาการปฏิบัติงานของรองเลขาธิการ กสทช. โดยไม่ผ่านความเห็นชอบของ กสทช. ลงวันที่ 2 เมษายน 2568

โดยที่สำนักงาน กสทช. ได้เสนอวาระที่ 6.2 เรื่อง การต่อระยะเวลาการปฏิบัติงานของผู้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ กสทช.สายงานกิจการโทรคมนาคม คือ นายสุทธิศักดิ์ ที่จะครบกำหนดสัญญาในวันที่ 30 เมษายน 2568 พร้อมนายไตรรัตน์ ให้ที่ประชุม กสทช.ครั้งที่ 9/2568 เมื่อ 26 มีนาคม 2568 รับทราบ ซึ่งที่ประชุมมีเพียงประธาน กสทช.รับทราบ

เนื่องจากมีประเด็นปัญหาในเรื่องขั้นตอนวิธีการที่จะต้องทำให้ถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ ซึ่งกระบวนการที่เกิดขึ้น ก็เป็นการแต่งตั้งกันไปมา ระหว่าง นายไตรรัตน์ นายสุทธิศักดิ์ โดยการประเมินผลทำโดยประธาน กสทช. โดยลำพัง ไม่ได้ผ่านคณะกรรมการ กสทช. จึงผิดขั้นตอนและไม่มีผล

“ตามข้อมูลข้อเท็จจริงที่ปรากฏ กรรมการ กสทช. มีความประสงค์ที่ต้องการให้การดำเนินงานของ สำนักงาน กสทช. ดำเนินการด้วยความถูกต้อง โปร่งใส คำนึงต่อกฎหมาย ระเบียบ และ มติ กสทช.  จึงต้องการให้ทุกฝ่ายร่วมกันตรวจสอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น และที่สำคัญการบริหารราชการแผ่นดินจะเป็นไปอย่างถูกต้องได้นั้น ผู้ดำรงตำแหน่งที่ใช้อำนาจย่อมจะต้องดำรงตำแหน่งโดยถูกต้องตามกฎหมาย เพราะหากไม่ถูกต้องแล้ว จะส่งผลให้การปฏิบัติหน้าที่นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายตามไปด้วย” แหล่งข่าวระบุ