กลายเป็นประเด็นร้อน หลัง ศูนย์สำรวจความคิดเห็น สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้าโพล) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “ปรับ ครม. วันไหนดี” ระหว่างวันที่ 5-9 เม.ย. 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป  รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่างเกี่ยวกับความคิดเห็นต่อการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในรัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  โดย “นิด้า” ได้สอบถามถึงความต้องการปรับเปลี่ยนกระทรวง พบกระทรวงที่ประชาชน อยากให้ปรับรัฐมนตรี มากกว่าไม่ปรับ มีเพียงกระทรวงเดียว คือ กระทรวงพาณิชย์ โดย 57.02% ระบุว่า ควรปรับเปลี่ยน ขณะที่ 41.60% ระบุว่า ไม่ควรปรับเปลี่ยน ขณะที่กระทรวงอื่นๆ ที่มีค่าความเห็นปรับและไม่ปรับใกล้เคียงกัน คือ  กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย 48.55% ระบุว่า ควรปรับเปลี่ยน ขณะที่ 49.47% ระบุว่า ไม่ควรปรับเปลี่ยน  ขณะที่กระทรวงอื่นๆ นั้น พบว่ามีค่าเปอร์เซ็นต์ที่ไม่ต้องการให้ปรับสูงกว่าความต้องการให้ปรับ ซึ่งเกิน 50% 

สำหรับ กระทรวงพาณิชย์ บุคคลที่ดำรงตำแหน่งคือ “นายพิชัย  นริพทะพันธุ์” สมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.)  ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยถูกที่ประชุมพรรค พท. แสดงความไม่พอใจ ในการทำงานมาแล้ว เพราะมองว่า ให้น้ำหนักในการ เดินทางไปต่างประเทศ  ไม่สนใจเรื่องการ แก้ไขปัญหาสินค้าราคาเกษตรตกต่ำ  จนมีข่าวอาจถูกปรับ ครม.  ขณะที่ “นายพิชัย” ได้ร่วมเดินทางไปกับ “นายพิชัย  ชุณหวชิร” รองนายกฯ และ รมว.คลัง ไปหารือกับสหรัฐ หลังไทยถูกปรับ ขึ้นภาษีการค้าไป 36% เพื่อนำเสนอสิ่งที่ไทยจะมอบให้สหรัฐ โดยวางแนวทางประกอบด้วย ต้องเพิ่มมูลค่าการส่งออกสินค้าที่สอดคล้องกับความต้องการของสหรัฐ และได้เปรียบดุลการค้า ผ่อนคลายมาตรการจัดเก็บภาษี เพื่อส่งเสริมการนำเข้า ลดขั้นตอนที่ทำให้เกิดความไม่สะดวกทางการค้าระหว่างประเทศ เพิ่มมาตรการคุมเข้มสินค้าที่ ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน หาโอกาสลงทุนในสหรัฐ โดยเฉพาะ เรื่องก๊าซธรรมชาติ  ซึ่งไทยมีคิวจะเจรจากับสหรัฐ ในวันที่ 23 เม.ย. ซึ่งหลายคนรอลุ้นว่า ไทยจะรอด หรือ จะร่วง 

ซึ่งบทสรุปอาจเป็น การวัดผลงาน ของ รมว.พาณิชย์ ก็ได้  ถ้าประสบความสำเร็จ ในการเจรจา แม้ “รมว.คลัง” จะเป็นหัวหน้าคณะฯ  แต่ก็ถือว่านายพิชัย มีส่วน ได้รับความดีความชอบ อยู่บ้าง ในฐานะเป็นหนึ่งในกลไกเจรจา แต่สำคัญที่สุด ผู้มากบารมีอย่าง “นายทักษิณ ชินวัตร” และ “น.ส.แพทองธาร” จะพอใจในการทำงานของ “นายพิชัย” หรือไม่  อย่าลืมว่า เวลา พรรค พท.เป็นรัฐบาล  มักจะปรับ ครม.ทุก 6 เดือน คงต้องรอดูว่า การเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลจะเกิดขึ้นหรือไม่

แต่ความเห็นที่น่าสนใจ มาจาก “นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ” สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. ในฐานะประธานกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล)  กล่าวถึง กระแสข่าวการปรับ ครม. ในเดือน ส.ค.-ก.ย. 68 ภายหลังผ่านการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 69 ว่า ได้ยินแต่ข่าวจากสื่อ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ในพรรค พท. ยังไม่มีการเคลื่อนไหว หรือหารือเรื่องปรับ ครม. ให้เป็นอำนาจของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ในฐานะผู้นำรัฐบาล ตัดสินใจ ส่วนกระแสข่าวปรับ ครม.ที่พรรค พท.จะเปิดดีลแลกกระทรวงกับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) นั้น ไม่ทราบเป็นจริงหรือไม่ แต่นายกฯ และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ ทุกอย่างให้เป็นอำนาจนายกฯ พรรค พท.พร้อมสนับสนุนการตัดสินใจ  

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีกระแสข่าวพรรค พท. จะขอกระทรวงมหาดไทย จากพรรค ภท. กลับมาดูเอง เพื่อชิงความได้เปรียบในการคุมเลือกตั้ง นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ยังไม่เคยได้ยิน ส่วนตัวไม่รู้ว่ามีความจำเป็นหรือไม่ ต้องนำกระทรวงมหาดไทยกลับมาดูแลเอง เพราะทุกวันนี้ ก็ยังทำงานได้อยู่  ส่วนกระแสข่าวปรับ ครม. ในทีมเศรษฐกิจนั้น  มีความเป็นไปได้  เท่าที่คุยกับ สส.มีเสียงสะท้อนแสดงความเป็นห่วงเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ อยากให้มีการแก้ไข โดยเฉพาะ กระทรวงที่เกี่ยวกับการค้าขาย ที่เป็นห่วงในส่วนสินค้าเกษตร แต่คนตัดสินใจคือนายกฯ

เมื่อถามถึง หลายฝ่ายมอง นโยบายเรือธงแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ของรัฐบาลไม่สามารถขับเคลื่อนได้ตามเป้า ทั้งโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่ไม่ตรงปก หรือนโยบาย เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ก็ถูกต่อต้านหนัก ถือเป็นปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณาปรับ ครม.หรือไม่ นายวิสุทธิ์  กล่าวว่า เรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ไม่เกี่ยวกับการปรับ ครม. ขณะนี้ประชาชน เริ่มเข้าใจมากขึ้น หลังจาก สส.ลงพื้นที่ไปทำความเข้าใจเรื่องสถานบันเทิงครบวงจร กระแสเริ่มดีขึ้น ขณะนี้พยายามเร่งทำความเข้าใจกับประชาชน เท่าที่ลงพื้นที่ได้ยินมากับหูของตัวเอง  ประชาชนไม่ได้คัดค้าน ไม่ต้องกังวล

ถือเป็นการส่งสัญญาณ ที่มีนัยสำคัญ ของแกนนำพรรค พท.  ต้องรอดูหัวหน้ารัฐบาล  และผู้มากบารมี “นายทักษิณ” จะเห็นด้วยหรือไม่  แม้กระทั่งการขอแลกกระทรวงมหาดไทย กับ “พรรคภูมิใจไทย (ภท.)” ก็อาจเกิดขึ้นได้  เพราะ การเมืองเป็นเรื่องของการต่อรอง และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น

ส่วนผลพวงต่อเนื่อง จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯ ยังไม่จบง่ายๆ หลัง “นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร” รองหัวหน้าพรรค ปชน. ซึ่งเป็นหนึ่งใน สส.ที่ลุกขึ้นมาอภิปรายไม่ไว้วางใจหัวหน้ารัฐบาล ได้ออกมากล่าวถึงความคืบหน้ามาตรการโรยเกลือรัฐบาล ต่อเนื่องจากเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า หลังจากสงกรานต์ วันที่ 21 เม.ย. นี้ จะมีการแถลงข่าว 3 ประเด็นหลัก คือ 1. พฤติกรรมของนายกฯ ที่เข้าข่ายทำนิติกรรมอำพราง โดยใช้ตั๋วพีเอ็นในการหลีกเลี่ยงภาษีหรือไม่  ต้องให้อธิบดีกรมสรรพากรส่งเรื่องสอบถาม หรือหารือไปยัง คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร เพื่อให้กรณีมีบทสรุปที่ชัดเจนอย่างสิ้นข้อสงสัย  ต้องถาม นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร ว่า จะยอมรับกรณีแบบนี้เป็นมาตรฐานจริงหรือเปล่า  2. เรื่องโฉนดโรงแรม เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ ซึ่งเรายืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ต้นน้ำลำธาร ไม่ว่ากฎหมายฉบับไหน ก็ไม่สามารถออกเป็นโฉนดได้ ต้องเดินหน้าเพิกถอนโฉนด

“3. กรณีของนักโทษชั้น 14  ก็เข้าข่ายว่า นายกฯ รู้ทั้งรู้ แต่ว่าก็จงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่  ต้องส่งเรื่องให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการต่อไป แต่ยืนยันเราจะไม่ใช้ช่องทางจริยธรรมจัดการกับนายกฯ แน่ๆ เรายังคงเรียกร้องให้นายกฯ มีสำนึกในตัวเอง และจริยธรรมตัวเองต้องตัดสิน รับผิดชอบ ไม่ต้องให้ใครชี้นิ้ว และไม่ต้องให้มรดกบาปคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เอามีดมาฟัน เราไม่สามารถเอาน้ำเสีย ไล่น้ำเสียได้” นายวิโรจน์ กล่าว 

นั่นหมายความว่า  แม้การอภิปรายไม่ไว้วางใจจะจบลงไปแล้ว  แต่ยังมีเรื่องราวให้ติดตาม และตรวจสอบต่อ  ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีคนไปยื่นเรื่องให้ องค์กรอิสระตรวจสอบแล้ว  เช่นกรณีของ นักโทษชั้น 14 รพ.ตำรวจ จากต้องรอบทสรุปของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องนายกฯ ถือครองตั๋วพีเอ็น หรือ การได้มาของโฉนด โรงแรม เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่  มีความผิดปกติหรือไม่

ด้าน “นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด” สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. ให้ความเห็นว่า  ถือเป็นสิทธิ ก็เข้าใจได้ และเป็นธรรมดาของฝ่ายค้าน คือปฏิบัติการโรยเกลือ ซึ่งคนที่ได้รับชมการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เห็นว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะเกลือไม่ถึง น้ำปลาก็ขาด ไม่ได้ดุเดือด และเรื่องอภิปรายก็เป็นเรื่องเก่าในลักษณะแปลกๆ เอาข้อมูลในโซเชียลจริงบ้างไม่จริงบ้างมายำรวมกัน ซึ่งเมื่อสังคมบอกว่าเป็นเรื่องเก่า และข้อมูลของพรรคฝ่ายค้าน ไม่ได้เป็น งานยากของรัฐบาล ทางรัฐบาลก็ตอบคำถามได้ชัดเจน โดยเฉพาะนายกฯ ตอบคำถามได้ครบถ้วน ทุกประเด็น และเมื่ออภิปราย เป็นมุกแป้กไปแล้ว เขาก็ต้องหาเหตุในการยื่น ส่วนจะเรียกว่าเป็นการยื่นแก้เก้อ แก้เขิน

หรือยื่นตามระเบียบนั้นก็ว่ากันไป แต่อย่างไรก็ตาม พรรค พท.ก็เคารพ ในการทำหน้าที่ของทุกฝ่าย ซึ่งหากเมื่อไปร้องแล้วฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ ต้องให้ความร่วมมือ ในการร่วมตรวจสอบต่อไป  เชื่อว่า การทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน ประชาชนก็ตรวจสอบดูอยู่เรื่องยุทธการโรยเกลือ เอาเข้าจริงไม่ได้โรยเกลือ และไม่ได้ส่งผลให้รัฐบาลมีปัญหาแต่อย่างใด

ส่วนความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ “ร่างพ.ร.บ.กาสิโน”  ด้านคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) วุฒิสภา ได้นัดประชุมครั้งแรก ในวันที่ 23 เม.ย. เวลา 10.30 น.  โดยมี วาระเลือกกรรมาธิการ (กมธ.) ในตำแหน่งต่างๆ รวมถึงวางกรอบการทำงาน

“นายวีระพันธ์ สุวรรณนามัย” สว. ให้สัมภาษณ์ว่าการเลือกตำแหน่งต่างๆ ใน กมธ. ถือเป็น เอกสิทธิ์ สว. ซึ่งเป็น กมธ.จะพิจารณาเลือก ส่วนตัวคิดว่าคนที่จะทำหน้าที่ประธาน กมธ. ต้องไม่มองประเด็นนี้เป็นเรื่องการเมือง แต่ต้องเป็นการ รักษาผลประโยชน์ ของประเทศชาติ ดังนั้นเมื่อการทำงานของ กมธ.ไม่ใช่เรื่องการเมือง คนที่เหมาะทำหน้าที่นี้ ไม่ควรเป็นผู้นำที่นำประเด็น เป็นเรื่องทางการเมือง เบื้องต้นนั้นชื่อที่ตนได้ยินมานั้น คือ ผู้ที่มีตำแหน่ง สว. มีความเป็นกลาง น่าเคารพ และไม่มีสีเสื้อ สำหรับการวางกรอบศึกษาของ กมธ. นั้น กลุ่มของตนมองว่าโจทย์หลักคือ หากการเปิดบ่อนถูกกฎหมาย จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจได้หรือไม่ หรือ หากมีบ่อน หรือ พนันออนไลน์ถูกกฎหมาย จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างไร รวมไปถึงต้องมองในแง่ของ การแข่งขันภูมิรัฐศาสตร์ ผลกระทบต่อสังคม ปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งแง่การค้า อาชญากรรม สุขภาพ ครอบครัว เยาวชน

ขณะที่ “นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล” สว. กล่าวว่า ในการเลือกตำแหน่งต่างๆ ของ กมธ. จะใช้เวทีการประชุมนัดแรก เพื่อหารือร่วมกันก่อน เพราะ กมธ.ชุดดังกล่าวมีสัดส่วนคนนอก รวมถึง กมธ.ที่มาจากทุกกลุ่ม ไม่เฉพาะกลุ่มสีน้ำเงินเท่านั้น และตนมองว่าประธานกมธ.ที่จะถูกคัดเลือก ต้องมีความเป็นกลาง ขณะที่การจัดสรรตำแหน่งเชื่อว่า จะทำให้สังคมรับได้ ส่วนตัวมองว่าคนที่จะทำหน้าที่ประธาน กมธ. ต้องเป็นคนที่มีความรู้ มีความอาวุโส และเป็นกลาง

“สิ่งหนึ่งที่รู้สึกผมมองจากประสบการณ์คือการมีบ่อนเสรีอาจจะ สร้างรายได้ให้ประเทศได้ แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาบ่อนเถื่อน พนันออนไลน์ผิดกฎหมายได้ เพราะคนที่เข้าไปเล่นในบ่อนเถื่อนเป็นคนละกลุ่มกับคนที่ไปเล่นพนันถูกกฎหมาย หากเทียบกับการแก้หวยเถื่อน ที่รัฐบาลพยายามหามาตรการแก้ไข แต่แก้ไม่ได้ แต่ยังทำให้หวยเถื่อนเติบโตขึ้นเรื่อยๆ” นายไชยยงค์ กล่าว

เมื่อถามว่า กมธ.ชุดนี้ จำเป็นต้องให้พรรคการเมืองมาแสดงจุดยืนว่า สนับสนุน หรือ คัดค้านกาสิโน หรือไม่ นายไชยยงค์ กล่าวว่า พรรคการเมืองต้องตอบให้ได้ว่า มีจุดยืนอย่างไร ซึ่ง กมธ.ชุดนี้ สามารถให้พรรคการเมืองเข้าชี้แจงได้ ว่าเห็นด้วย หรือ เห็นต่างอย่างไร ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวสังคมไทยยังไม่ตกผลึกต่อการมีกาสิโนเสรี ดังนั้นรัฐบาลต้อง ใช้เวลาสร้างความเข้าใจ กับทุกภาคส่วนให้มากกว่านี้

จับท่าทีของ สว. เชื่อว่า กาสิโนไม่เกิดขึ้นได้ง่าย โดยเฉพาะ ข้อแนะนำรัฐบาล ต้องใช้เวลา สร้างความเข้าใจทุกภาคส่วนให้มากกว่านี้  การตั้งข้อสังเกต บ่อนเสรีอาจจะ สร้างรายได้ให้ประเทศได้ แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาบ่อนเถื่อน พนันออนไลน์ผิดกฎหมาย ได้ เพราะคนที่เข้าไปเล่นในบ่อนเถื่อนเป็นคนละกลุ่มกับคนที่ไปเล่นพนันถูกกฎหมาย

ทีมข่าวการเมือง