สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 22 เม.ย. ว่า กระทรวงพาณิชย์สหรัฐออกแถลงการณ์ เกี่ยวกับผลการสอบสวนการทุ่มตลาดแผงพลังงานแสงอาทิตย์ หรือแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งส่งออกมาจากกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 4 แห่ง คือมาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา และไทย
การตรวจสอบดังกล่าวใช้เวลานานกว่า 1 ปี ต่อเนื่องตั้งแต่สมัยรัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน พบว่า ผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้รับประโยชน์จากนโยบายอุดหนุนของรัฐบาล “ที่ไม่มีความเป็นธรรม”
ทั้งนี้ อัตราภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดขั้นสุดท้ายในยุคไบเดน อยู่ที่ 271.28% สำหรับเวียดนาม 125.37% สำหรับกัมพูชา 111.45% สำหรับไทย และ 8.59% สำหรับมาเลเซีย
The US set new duties on solar imports from four Southeast Asian nations that together provide the country with the bulk of its panels https://t.co/UwvEhE1Z2k
— Bloomberg (@business) April 21, 2025
ขณะที่อัตราซึ่งผ่านการวิเคราะห์ใหม่ในยุครัฐบาลสหรัฐชุดปัจจุบัน เมื่อรวมอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนที่เรียกเก็บรวมกันจากแต่ละบริษัท ผลิตภัณฑ์ของบริษัท “จิงโกะ โซลาร์” จากมาเลเซีย เผชิญกับอัตราภาษี 41.56% ขณะที่บริษัท “ทรินา โซลาร์” ของจีน เผชิญกับอัตราภาษี 375.19% จากแผงโซลาร์เซลล์ที่ผลิตในไทย
ส่วนแผงโซลาร์เซลล์ของกัมพูชาอาจเผชิญกับอัตราภาษีสูงกว่า 3,500% เนื่องจากผู้ผลิตของกัมพูชาเลือกที่จะไม่ให้ความร่วมมือ กับการสอบสวนของสหรัฐ
หากอัตราภาษีดังกล่าวมีผลบังคับใช้จริง จะเป็นคนละส่วนกับอัตราภาษีพื้นฐาน 10% ซึ่งสหรัฐเรียกเก็บจากสินค้าทั่วโลก และมีผลเมื่อต้นเดือนนี้
การพิจารณาและกำหนดอัตราดังกล่าว เป็นไปตามคำร้องของบรรดาผู้ประกอบการในสหรัฐ ที่กล่าวว่า บริษัทแผงโซลาร์เซลล์ของจีน ซึ่งมีสาขาหรือโรงงานในเวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย และไทย เป็นตัวการทำให้สินค้ามีราคาตก ด้วยการทุ่มตลาดกับแผงโซลาร์เซลล์ที่ส่งมาจำหน่ายในตลาดอเมริกา
อนึ่ง สหรัฐนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องจาก เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย และไทย รวมกันเป็นมูลค่าสูงถึง 12,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 427,634.89 ล้านบาท) เมื่อปีที่แล้ว คิดเป็น 77% ของการนำเข้าทั้งหมด.
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES