กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สอบสวน 3 นอมินีคนไทย บ.ไชน่า เรลเวย์ฯ กว่า 10 ชั่วโมง ทั้งหมดให้การปฏิเสธ เมินตอบสื่อ ภายหลังคุมตัวฝากขังศาลอาญาจากกรณี คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 32/2568 นำโดย ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการพิเศษ (ปพ.) ร่วมกันควบคุมตัว นายชวนหลิง จาง (Mr.Chuanling Zhang) สัญชาติจีน กรรมการบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ต้องหารายสำคัญตามหมายจับศาลอาญาที่ 2389/2568 ลงวันที่ 18 เม.ย.68 ในข้อหา เป็นคนต่างด้าวที่ประกอบธุรกิจซึ่งต้องห้ามมิให้คนต่างด้าวประกอบกิจการ หรือต้องได้รับอนุญาตก่อน และเป็นนิติบุคคลซึ่งรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิดนั้น ตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มาตรา 37 และมาตรา 41 ไปยื่นคำร้องฝากขังผัดแรกต่อศาลอาญารัชดาภิเษก

ขณะที่ 3 กรรมการคนไทยของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ ประกอบด้วย นายประจวบ ศิริเขตร นายมานัส ศรีอนันท์ และนายโสภณ มีชัย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาในความผิดเดียวกัน ได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ก่อนถูกควบคุมตัวสอบสวนปากคำที่ห้องสำนักงานรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ชั้น 8 ศูนย์ราชการฯ อาคารบี ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 22 เม.ย. ที่บริเวณด้านหน้าอาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยผลการสอบสวนปากคำ 3 ผู้ต้องหาชาวไทย นายประจวบ ศิริเขตร นายมานัส ศรีอนันท์ และนายโสภณ มีชัย กรรมการบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ว่า วานนี้ (21 เม.ย.) พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้มีการสอบปากคำ 3 ผู้ต้องหานานกว่า 10 ชม. โดยเสร็จสิ้นการสอบสวนปากคำเวลาประมาณ 22.00 น. ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 3 รายล้วนให้การปฏิเสธ อ้างว่าไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นแทนของบริษัทไชน่า เรลเวย์ฯ อีกทั้งไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการให้ปากคำแต่อย่างใด และหากเปรียบเทียบกับคำให้การของนายชวนหลิง จาง ที่ได้ให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา พบว่ามีคำให้การประมาณ 10 หน้าเอกสาร ซึ่งแตกต่างจาก 3 กรรมการชาวไทยที่ให้การเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เผยต่อว่า บางช่วงบางตอนเมื่อพนักงานสอบสวนพยายามสอบถามประเด็นกับ 3 กรรมการชาวไทย ผู้ต้องหาออกอาการงงคำถาม จึงทำให้ทนายความส่วนตัวต้องช่วยอธิบายคำถามให้ จนกระทั่งการสอบสวนแล้วเสร็จ จึงถูกคุมตัวไปไว้ยัง ชั้น 6 อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ถนนแจ้งวัฒนะ ก่อนจะพาไปฝากขังที่ศาลอาญารัชดาภิเษก โดยผู้ต้องหาทั้ง 3 รายไม่ได้มีการยื่นขอประกันตัวในชั้นสอบสวน รวมถึงท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวนคดีพิเศษไม่ได้มีการคัดค้านการขอประกันตัว เนื่องจากผู้ต้องหาได้เดินทางเข้ามามอบตัวด้วยตนเอง อย่างไรก็ตามระหว่างถูกคุมตัวไปฝากขัง ผู้ต้องหาทั้งหมด ไม่ตอบคำถามสื่อและไม่ขอให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด

ด้าน พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค ในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำ 3 ผู้ต้องหาเสร็จสิ้นแล้ว ภาพรวม ได้มีผู้ต้องหา 1 ราย คือ นายโสภณ มีชัย ที่ยอมให้การ ขณะที่อีก 2 ราย คือ นายประจวบ ศิริเขตร และนายมานัส ศรีอนันท์ แจ้งความประสงค์ขอชี้แจงเป็นเอกสารภายใน 30 วัน โดยการชี้แจงผ่านหนังสือจะไม่ได้มีผลต่อรูปคดี เพราะผู้ต้องหาย่อมให้การอย่างไรก็ได้ แต่ทุกคำให้การจะถูกนำมาพิสูจน์ทั้งหมด โดยประเด็นที่ต้องชี้แจงเพิ่มเติม คือ การถือหุ้น กระบวนการเปลี่ยนแปลงตัวกรรมการและผู้ถือหุ้น รวมถึงที่มาของเงินที่ใช้ในการลงทุน และอำนาจทางการบริหาร อย่างไรก็ตาม ระหว่างข้อมูลที่ผู้ต้องหาให้การกับข้อมูลที่ดีเอสไอรวบรวมมานั้น พบว่าบางส่วนไม่ตรงกัน ทั้งนี้ เหตุใดก่อนหน้านี้ทั้ง 3 รายไม่ยอมเข้ามาพบดีเอสไอก่อนมีหมายจับของศาล เราได้สอบถามประเด็นนี้ แต่พวกเขาไม่ตอบ แต่เขาแจ้งว่าพอเห็นหมายจับจึงเข้ามาพบพนักงานสอบสวน และไม่ได้ให้ข้อมูลว่าไปอาศัยอยู่ด้วยกันหรือไม่

สำหรับความสัมพันธ์รู้จักกันของ 3 กรรมการชาวไทยและชาวจีน 2 ราย อย่าง นายบินลิง วู และ นายชวนหลิง จาง นั้น มีการให้ข้อเท็จจริงว่ารู้จักกัน โดยเฉพาะในส่วนของนายประจวบ และนายมานัส ที่ทำงานกับบริษัทอื่นที่มีคนจีนไปเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ทั้งนายประจวบ และนายมานัส ไม่ได้เริ่มต้นจากการเข้ามาเกี่ยวข้องในบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด แต่ไปเริ่มต้นกับบริษัทอื่นมาก่อน ถ้าจำไม่ผิดคือ บริษัท สันติภาพ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ส่วนใครเป็นคนชวนให้เข้ามาเป็นกรรมการและถือหุ้นนั้น ในคำให้การกล่าวอ้างของ นายโสภณ มีชัย เจ้าตัวระบุว่า นายประจวบ และนายมานัส คือผู้ชักชวน แต่คำให้การของผู้ต้องหา ต้องนำมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงอีกครั้ง

พ.ต.ต.วรณัน เผยต่อว่า ในการสอบปากคำนายโสภณ มีชัย ระหว่างการสอบสวนปากคำ เจ้าตัวมีการตอบเอง แต่บางครั้งทนายความก็จะช่วยอธิบายคำถามบ้าง เพราะบางทีบางประเด็นเขาอาจเข้าใจไม่ละเอียด นอกจากนี้ ในประเด็นของการถือหุ้นของทั้ง 3 ราย พบว่าหุ้นมันมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี 61-68 มีการสลับเพิ่ม-ลง ตอนนี้เราแบ่งเงินที่เกี่ยวข้องกับ บริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ ออกเป็น 2 ส่วน คือ เงินลงหุ้น และเงินที่กู้ยืมมาเพื่อทำธุรกิจ ตรงส่วนนี้ เราจะไล่ย้อนหลังตรวจสอบเส้นทางการเงิน ดังนั้น เส้นทางการเงินจะสอดคล้องกับสัดส่วนการถือหุ้นหรือไม่ ต้องให้เวลาพนักงานสอบสวนตรวจสอบก่อน เพราะเพิ่งได้รับข้อมูลรายงาน แต่ที่น่าสงสัยก็คือ รายได้และเงินคงค้างในบัญชีของ 3 กรรมการชาวไทย ดีเอสไอพอมีข้อมูลว่า เป็นเงินจำนวนไม่เยอะ บางคนเหลือเงินติดบัญชีแค่หลักหมื่นบาทเท่านั้น.