เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ที่รัฐสภา นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคประชาชน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงวาระการประชุม กมธ.เพื่อพิจารณาศึกษาและติดตามการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติด้านเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจและชีวิตของประชาชน กรณีการเข้ามาของทุนจีนที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในพื้นที่ จ.ระยอง และภาคตะวันออกทั้งหมด โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม รวมถึงผู้ว่าฯ ระยอง นายก อบจ.ระยอง บีโอไอ และ สส.ระยอง เข้าชี้แจง แต่ผู้ว่าฯ ระยอง ได้ส่งตัวแทนเป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดมาแทน ส่วนทางนายก อบจ. ไม่มีตัวแทน

โดยนายชุติพงศ์ กล่าวว่า เราทราบว่าธุรกิจของนักลงทุนชาวจีนบางส่วนได้ทำให้เกิดปัญหาทั้งสิ่งแวดล้อม ทั้งการจ้างงาน และปัญหาอื่นๆ ทั้งกากสารเคมีที่อาจจะมีการนำเข้าจากหลายประเทศเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งในวันนี้นายเอกนัฏ เข้ามาได้ให้เกียรติมาชี้แจงด้วยตัวเอง เกี่ยวกับเรื่องปัญหาของโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นโรงงานศูนย์เหรียญ โรงงานเหล็ก และโรงงานอุตสาหกรรม ที่จีนมาลงทุนว่าเราควรจะมีการทบทวนและแก้ปัญหานี้อย่างไร รวมถึงเรื่องทบทวนการส่งเสริมการลงทุนด้วย

ด้านนายเอกนัฏ กล่าวว่า หลายคนอาจสับสนใน 2 เรื่อง แต่เกี่ยวข้องกันคือตึกถล่ม และไม่ว่าตึกถล่มหรือไม่ถล่ม ภารกิจหลักที่ตนทำตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีคือ การปราบธุรกิจอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ ถ้าเราดูภาพใหญ่ จักรวาลศูนย์เหรียญสร้างปัญหาให้กับประเทศเยอะมาก ทั้งทำให้สูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจ สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จะเห็นได้ว่าการเอาวัสดุด้อยคุณภาพมาผลิตสินค้า โดยมีการลักลอบนำเข้า ผลิต และขาย ซึ่งเป็นการทำร้ายธุรกิจของคนไทย ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ คือการลดราคาด้วยการลดต้นทุนการผลิต ลดคุณภาพ ในที่สุดก็เป็นปัญหากับประชาชน เพราะไม่ใช่แค่เหล็กอย่างเดียว มีทั้งสายไฟ ล้อยาง และที่พ่วงมากับทุกผลิตภัณฑ์คือการบริหารจัดการกากของเสียที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขและข้อกำหนดของกระทรวง

“คิดว่าวันนี้ถึงเวลาที่คนไทยทั้งประเทศต้องตื่นรู้ และช่วยกัน ผมไม่คิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้น การแก้ไขต้องใช้เฉพาะกระทรวงอุตสาหรรมอย่างเดียว และล่าสุด นายกฯ ได้มีคำสั่งในที่ประชุม ครม. ให้ผมร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิศษ (ดีเอสไอ) จัดการเรื่องของผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพ ไม่ได้มาตรฐาน รวมทั้งธุรกิจต่างด้าวที่เข้ามาในประเทศไทย แต่ผมคิดว่าฝั่งรัฐบาลคงไม่พอ คงต้องพึ่งฝ่ายค้าน และผมก็เป็น สส. ซึ่งถือเป็นตัวแทนของประชาชน และหลายครั้งเราทำงานได้อย่างรวดเร็ว ก็ต้องพึ่งข้อมูลสำคัญจากฝ่ายค้าน ซึ่งนายชุติพงศ์ ก็ส่งข้องมูลมาให้ผมตลอด ทั้งแต่ก่อนตึก สตง. ถล่มแล้ว ทำให้เราสามารถปฏิบัติการได้อย่างรวดเร็ว” นายเอกนัฏ กล่าว

นายเอกนัฏ กล่าวว่า การที่จะจัดการกับคนเหล่านี้ได้ จะพึ่งเฉพาะกระทรวงอุตสาหกรรมไม่ได้ ต้องพึ่ง สส. และภาคประชาชน เพราะสิ่งที่อยู่เบื้องหลังคนเหล่านี้ ไม่ธรรมดา มีทั้งเงิน อิทธิพล และอำนาจ ดังนั้น ตนจึงไม่ปฏิเสธที่จะทำงานร่วมกับใคร หรือฝ่ายค้าน และเมื่อตนได้รับเชิญจาก กมธ. จึงให้ความสำคัญกับกลไกสภา และไม่ใช่ปัญหาที่จะเป็นเส้นแบ่งระหว่างพรรคการเมือง.