ดร. บิตา ฟาร์เรลล์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม ได้ทำการทดลองกับตัวเองโดยฉีดโบท็อกซ์เข้ากล้ามเนื้อบนใบหน้าเพียงซีกเดียว เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ของยา ‘โบทูลินัม ท็อกซิน’ ซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นพิษต่อระบบประสาท แต่มีการนำมาใช้ทางการแพทย์ด้านความงามอย่างแพร่หลาย เพื่อลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า เทียบกับใบหน้าซีกที่ไม่ได้มีการฉีดโบท็อกซ์ 

ดร. ฟาร์เรลล์ให้เหตุผลที่เธอใช้ตัวเองเป็นหนูทดลองว่า “เพื่อวิทยาศาสตร์และการศึกษา”

แพทย์หญิงผู้มีประสบการณ์การฉีดโบท็อกซ์กว่า 20 ปี ได้ฉีดโบท็อกซ์ที่กล้ามเนื้อบริเวณล่างของใบหน้าด้านขวาในช่วงเวลาสองสัปดาห์ก่อนหน้าที่จะถ่ายวิดีโอที่แสดงผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกซ์ โดยอธิบายว่า เธอได้ฉีดยาเข้าที่กล้ามเนื้อ DAO (Depressor Anguli Oris) ซึ่งทำหน้าที่ดึงมุมปากลง และกล้ามเนื้อ Platysma บริเวณลำคอ มีขนาดบางและใหญ่มาก กล้ามเนื้อนี้มีแนวการดึงจากใบหน้าลงมาที่ลำคอจึงทำให้เกิดความหย่อนคล้อยบนใบหน้า 

ในคลิปวิดีโอที่ดร. ฟาร์เรลล์โพสต์ลงบนอินสตาแกรมซึ่งขณะนี้ได้จำกัดการเข้าถึงไปแล้ว แสดงให้เห็นว่า เมื่อเธอพยายามขยับกล้ามเนื้อบริเวณล่างของใบหน้านั้น ปรากฏว่า กล้ามเนื้อใบหน้าด้านขวาที่ฉีดโบท็อกซ์แทบไม่มีการเคลื่อนไหว ทั้งที่เธอพยายามขยับใบหน้าซีกขวา แต่ก็ไม่สามารถทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้ ในขณะที่ใบหน้าด้านซ้ายยังคงขยับได้และแสดงสีหน้าท่าทางได้อย่างชัดเจน โดยเธอชี้ให้เห็นลักษณะของกล้ามเนื้อ Platysma ด้านซ้ายที่หดตัวและดึงแนวกรามลง เช่นเดียวกับกล้ามเนื้อ DAO ซีกซ้ายที่ดึงมุมปากลง

เมื่อเปรียบเทียบใบหน้าทั้งสองข้าง ดร. ฟาร์เรลล์กล่าวว่าแก้มด้านที่ฉีดโบท็อกซ์ดูยกขึ้น ร่องแก้มดูตื้นขึ้น และเส้นร่องน้ำหมากก็ดูจางลง 

เธอยังอธิบายเพิ่มเติมว่า กล้ามเนื้อบนใบหน้ามีทั้งที่ดึงขึ้นและดึงลง เมื่อกล้ามเนื้อที่ดึงส่วนล่างของใบหน้าลง (Platysma และ DAO) ถูกฉีดและคลายตัวด้วยสารที่ควบคุมการสร้างหรือหลั่งสารสื่อประสาท (Neuromodulator) เช่น โบท็อกซ์ กล้ามเนื้อที่ดึงส่วนกลางของใบหน้าขึ้น (Zygomaticus หรือกล้ามเนื้อแก้ม) ก็จะทำงานได้เด่นขึ้น ทำให้ใบหน้าดูยกกระชับขึ้น ช่วยลดเลือนริ้วรอยร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ทำให้ใบหน้าดูตึง และยังช่วยยกกระชับลำคอและทำให้กรอบหน้าคมชัดขึ้น รวมถึงทำให้แก้มดูเต็มและยกขึ้นด้วย

ดร. ฟาร์เรลล์กล่าวว่าผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกซ์จะอยู่ได้นานราว 3-4 เดือน ก่อนจะปิดท้ายด้วยการพูดติดตลกว่า เธอควรจะไปฉีดโบท็อกซ์เข้าหน้าอีกข้างที่เหลือ เพื่อให้ใบหน้าดูสมดุลกัน

ผู้ที่ได้ชมวิดีโอส่วนใหญ่ต่างก็ประทับใจกับการสาธิตของ ดร. ฟาร์เรลล์ และแสดงความคิดเห็นชื่นชมมากมาย หลายคนชื่นชมความกล้าหาญของเธอที่ยอมเป็นหนูทดลองด้วยตัวเอง ในขณะที่บางคนก็แสดงความรู้สึกตกใจมากกับผลลัพธ์และความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนระหว่างซีกหน้าที่ฉีดและไม่ได้ฉีดโบท็อกซ์

นอกจากนี้ยังมีบางคนที่มองว่า ใบหน้าที่เป็นไปตามธรรมชาตินั้นสวยกว่าและไม่ชอบที่เมื่อฉีดโบท็อกซ์แล้ว จะไม่สามารถเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อบนใบหน้าและแสดงสีหน้าออกมาได้ 

ที่มา : ladbible.com

เครดิตภาพ : Instagram/@drbitafarrell