วันนี้ “เดลินิวส์” นำบทความเพจโรงพยาบาลพญาไท 3 พูดถึง  “แผลในปาก” ที่เขียนไว้ ว่า  คนส่วนใหญ่จะคิดถึง “ร้อนใน” เป็นอันดับแรก ๆ เพราะเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ง่ายและพบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย แต่ในความเป็นจริงแล้ว “แผลในปาก” อาจไม่ได้หมายถึง “ร้อนใน” เสมอไป แต่อาจเป็นอาการแสดงของโรคอื่น ๆ ที่เสี่ยงเป็นอันตรายได้มากกว่า จึงทำให้เราควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง “แผลในปาก” ติดตัวไว้ เพื่อให้สามารถประเมินอาการตัวเองและคนใกล้ชิดได้ว่า แผลในปากที่มีเกิดขึ้นนั้น เป็นเพียงแค่แผลร้อนในธรรมดา หรือเป็นสัญญาณเตือนภัยของโรคอื่น ๆ กันแน่

“แผลในปาก” มีสาเหตุเกิดได้จากหลาย ๆ ปัจจัย และลักษณะของอาการก็แตกต่างกันไป เพื่อให้เราสามารถประเมินความเสี่ยงและรู้เท่าทันอาการแผลในปากของตัวเองได้ว่าอันตรายรุนแรงแค่ไหน

4 กลุ่มอาการแผลในปากที่พบได้บ่อยมากที่สุดที่ควรทำความรู้จัก

  1. แผลกัดปากตัวเอง เช่น เผลอกัดปากตัวเองขณะรับประทานอาหาร หรือแผลที่เกิดจากการใส่เหล็กดัดฟัน จะมีลักษณะเป็นแผลสีขาว คล้ายกับคราบหนอง ช่วงเริ่มต้นเมื่อเกิดแผลจะเป็นจุดสีแดงก่อน แล้วจึงค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวจาง ๆ หรือสีเทา
  2. แผลร้อนใน หรือ Aphthous Ulcers เป็นแผลในปากที่เกิดขึ้นเฉพาะบุคคล อาจเป็นผลมาจากกรรมพันธุ์ ไม่ทราบสาเหตุชัดเจน แต่มักเกิดขึ้นเวลาที่เรานอนน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือรับประทานอาหารเมนูของทอดปริมาณมาก ๆ ลักษณะอาการจะเป็นแผลตั้งแต่จุดเดียวหรือหลายจุดร่วมกันก็ได้
  3. เริม หรือ Herpes Simplex เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังที่เกิดจากเชื้อไวรัส HSV-1 หรือ HSV-2 ทำให้มีแผลที่บริเวณช่องปากเป็นจุดใดจุดหนึ่ง แต่จะไม่กระจายตัวทั่วทั้งปาก
  4. แผลในปากที่เกิดจากการแพ้ ซึ่งสามารถแพ้ได้ทั้งจากอาหาร หรือสารเคมีในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในช่องปาก เช่น ลิปสติก ยาสีฟัน หรือผลไม้บางชนิดที่ได้รับการพ่นสารเคมี ในช่วงเริ่มแรกของอาการแพ้จะมีรอยแดงเกิดขึ้นที่ปาก หรือบางรายจะเป็นถุงน้ำแตกออก และตามด้วยการมีแผลสีขาวเป็นปื้น ในคนไข้ที่มีอาการรุนแรงอาจพบว่ามีเลือดออกด้วย

แผลในปากแบบไหนเป็นโรคอันตราย ควรรีบไปปรึกษาแพทย์

ลักษณะของแผลในปากที่พบได้บ่อยนั้นค่อนข้างมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน จึงอาจทำให้หลายคนสับสนแยกไม่ออกว่าเป็นแผลในปากที่อันตรายแค่ไหน แนวทางในการพิจารณาแผลในปากว่าควรต้องรีบไปพบแพทย์หรือไม่นั้น สามารถสังเกตได้จาก 3 สิ่งสำคัญดังต่อไปนี้

  1. ปริมาณแผลในปาก หากมีจำนวนแผลในปากมากกว่า 1 จุด ถือว่าไม่น่าไว้วางใจ
  2. ขนาดของแผลในปาก หากใหญ่มากกว่า 5 มิลลิเมตรขึ้นไป ถือว่ามีความเสี่ยงที่ควรต้องกังวล
  3. ระยะเวลาในการมีแผลในปาก หากไม่หายหรือไม่ทุเลาลงภายใน 1 สัปดาห์ หรือมีอาการรุนแรงมากขึ้น ถือว่ามีความเสี่ยงที่ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้

หากแผลในปากที่เกิดขึ้นเข้าลักษณะทั้ง 3 อย่างรวมกัน ถือว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นสัญญาณเตือนของโรคอันตราย อาทิ โรคมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรค SLE หรือโรคพุ่มพวง โรคเอดส์ โรคเบเช็ท (BehÇet’s disease) เป็นต้น ซึ่งทุกโรคนั้นล้วนเป็นโรคอันตราย ที่ควรต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะยิ่งปล่อยทิ้งไว้นานวัน ก็จะยิ่งเสี่ยงเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ใครบ้างที่มีความเสี่ยงเป็นแผลในปากได้มากกว่าปกติ

พฤติกรรมในการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิต ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีความเสี่ยงเกิดแผลในปากได้ โดยกลุ่มคนที่มีโอกาสเสี่ยงเป็นแผลในปากนั้น ได้แก่ กลุ่มคนที่ชอบรับประทานอาหารดิบ ๆ ชอบรับประทานอาหารรสเผ็ดจัด หรือว่าร้อนจัด โดยเมนูที่เสี่ยงทำให้เกิดแผลในปากได้ง่าย ก็เช่น ส้มตำที่ใส่พริกเยอะ ๆ หมาล่า น้ำพริก เมนูปิ้งย่าง และเมนูหมักดองต่าง ๆ ที่อาจมีความเสี่ยงในการปนเปื้อนสารพิษหรือมีเชื้อโรคเจือปน

นอกจากนั้นแล้ว ในกลุ่มคนที่ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่เป็นประจำ ก็มีความเสี่ยงเป็นแผลในปากได้สูงมากกว่าคนทั่วไป แม้จะเป็นบุหรี่ไฟฟ้า ก็ถือว่าอันตรายไม่แพ้บุหรี่ธรรมดา หรือถึงจะไม่มีกลิ่นเหม็นเหมือนบุหรี่ทั่วไป แต่ก็มีสารนิโคติน ที่เป็นสารก่อมะเร็ง และมีผลทำให้เกิดแผลในปากได้เช่นกัน

Dentist curing teeth of patient

วินิจฉัยและรักษาอย่างไร เมื่อเป็นแผลในปาก

การวินิจฉัยอาการแผลในปาก ทำได้ง่าย ๆ ด้วยการที่แพทย์จะตรวจดูสภาพช่องปากโดยตรง ร่วมกับการคลำดูว่ามีก้อนหรือไม่ เพราะบางครั้งอาจมีก้อนซ่อนอยู่ข้างใต้แผลในปากได้ ซึ่งในกรณีถ้าตรวจดูแล้วพบว่า เป็นแผลร้อนในธรรมดาก็ไม่จำเป็นต้องคลำก็ได้ แต่หากสังเกตจากแผลแล้วไม่มั่นใจ แพทย์ก็จะพิจารณาคลำตรวจเพิ่มเติม และในบางรายที่เป็นแผลในปากเรื้อรังมานานเกิน 2 สัปดาห์ แพทย์อาจพิจารณาเจาะตัดชิ้นเนื้อไปตรวจเพิ่มเติมได้ด้วยเช่นกัน เพราะอาจมีความเสี่ยงเป็นแผลในปากจากมะเร็งและโรคอื่น ๆ ได้

แนวทางในการรักษาแผลในปาก แพทย์จะให้ยาลดอักเสบ ซึ่งจะเป็นยาป้ายเฉพาะที่ หรืออาจใช้กรดไทรคลอโรอะซีติค (Trichloroacetic acid : TCA) เพื่อรักษาแผลร้อนใน ร่วมกันกับการใช้ยาพ่นลดการอักเสบในช่องปาก โดยให้ยาต่อเนื่องจนกว่าแผลจะหาย ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ระยะเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ ในคนไข้รายที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อ ก็จะให้ยาฆ่าเชื้อและยาลดปวดเพิ่มเติม ซึ่งมีทั้งที่เป็นยารับประทานและแบบพ่นสเปรย์ ทั้งนี้ หากได้รับยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น ไม่หายใน 2 สัปดาห์ และมีแนวโน้มอาการแย่ลงใน 1 สัปดาห์ อาจต้องพิจารณาทำ Biopsy ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจเพื่อวินิจฉัยแยกโรคเพิ่มเติม เพราะอาจมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งได้

ป้องกันดูแลตัวเองอย่างไร ให้ห่างไกลจากแผลในปาก

เราทุกคนสามารถป้องกันแผลในปาก ไม่ให้เกิดขึ้นกับตัวเองและคนที่รักในครอบครัวได้ง่าย ๆ ด้วยการให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาความสะอาดในช่องปาก หมั่นสำรวจตรวจดูสภาพช่องปากตัวเองเป็นประจำว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ในการแปรงฟันก็ควรแปรงอย่างถูกวิธี ระมัดระวังไม่ให้เกิดการกระแทกที่อาจทำให้เกิดแผลในปากได้ นอกจากนั้นแล้ว ก็ควรเลือกรับประทานอาหารที่สะอาด ปลอดภัย หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและร้อนจัด หากทำได้ตามนี้ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดแผลในปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“แผลในปาก” ดูผิวเผินอาจเป็นแค่อาการร้อนในธรรมดาที่หายเองได้ แต่ถ้าพิจารณาให้ลึกถึงลักษณะของแผล ระยะเวลาในการเกิดแผล และอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยแล้ว อาจพบว่าเป็นสัญญาณเตือนของโรคอื่น ๆ ที่เสี่ยงเป็นอันตรายได้มากกว่า ดังนั้นหากพบว่าตัวเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการแผลในปาก ที่มีความผิดปกติเป็นนานเกินกว่า 1 สัปดาห์แล้วไม่ดีขึ้น ไม่หาย หรือมีอาการแย่ลง ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ แต่ควรรีบมาปรึกษาแพทย์โดยด่วน เพื่อวินิจฉัยให้ทราบแน่ชัดว่าเป็นสัญญาณเตือนภัยจากโรคใดกันแน่ อันจะนำไปสู่การวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและหยุดโรคได้ทันท่วงที.