หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% อยู่ระดับ 1.75% จาก 2% พร้อมกับปรับคาดการณ์เศรษฐกิจไทย ระบุว่า จีดีพีไทยปีนี้จะขยายตัว 2% แต่หากสงครามการค้ารุนแรงมาก จะทำให้กระทบจนจีดีพีอยู่ร่วงถึง 1.3% ในปีนี้

“กรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์” ระบุว่า เงินบาทค่อนข้างทรงตัว เคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 33.33 บาทต่อดอลลาร์ หลังจากการประกาศลดอัตราดอกเบี้ย โดย กนง. ระบุว่าความผันผวนในตลาดโลกเพิ่มขึ้น เนื่องจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า อย่างไรก็ตาม กลไกการเคลื่อนไหวของตลาดการเงินไทยยังคงเป็นปกติ

สำหรับการประชุม กนง. ในครั้งต่อไป จะเกิดขึ้นวันที่ 25 มิถุนายน 2568 ซึ่งท่าทีของ กนง. ชี้ความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจอย่างชัดเจน กรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ ปรับมุมมองและเชื่อว่ามีโอกาสที่ กนง. จะตัดสินใจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกก่อนสิ้นปีนี้

“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” คาด กนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งปีหลัง โดยจุดจับตาคงอยู่ที่การประชุมรอบเดือน ส.ค. หลังจากการชะลอการปรับขึ้นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ของสหรัฐ จะสิ้นสุดลงในวันที่ 9 ก.ค.

ทั้งนี้ กนง. คงพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยในจังหวะที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดภายใต้ขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (Policy space) ที่มีจำกัด

“SCB EIC” มองว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งในปีนี้ สู่ระดับ 1.25% ภายในสิ้นปี 2568 เพื่อรองรับเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอลงตามความไม่แน่นอนที่ปรับสูงขึ้นมาก จากนโยบายการค้าสหรัฐ ประกอบกับความตึงตัวของภาวะการเงินที่มีอยู่เดิม ทั้งนี้ ประเมินว่าระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปีนี้จะต่ำกว่าช่วงปี 2561-2562 ที่เกิดสงครามการค้า 1.0 ระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งขณะนั้นไทยยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง

นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส สายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า หลังผลการประชุม กนง. เงินบาทยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยอยู่ที่ราว 33.35-33.45 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Government bond yields) ยังทรงตัวเช่นกัน โดย Yields ระยะ 2 ปี อยู่ที่ราว 1.54% ส่วน Yields ระยะ 10 ปี อยู่ที่ราว 1.88%

ซึ่ง Reaction ในตลาดการเงินไทยที่น้อยนี้ เป็นเพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ได้คาดการณ์การลดดอกเบี้ยของ กนง. ในครั้งนี้ไว้แล้ว และคาดว่าจะยังมีลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งภายในปีนี้ โดยการลดครั้งถัดไปอาจเป็นการประชุมเดือน มิ.ย. (การประชุมครั้งหน้า)

กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ โดยอย่างเร็วอาจลดในการประชุมครั้งถัดไปในเดือน มิ.ย. ซึ่งเป็นมุมมองที่สอดคล้องกับการ Price-in ในตลาด interest rate swap ในส่วนมุมมองค่าเงิน ในระยะสั้น (ไตรมาสที่ 2 นี้) เงินบาทอาจอ่อนค่าในกรอบ 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจาก 1) สหรัฐอาจกลับมาขึ้น Tariffs บางส่วนหลังผ่านไป 90 วัน ทำให้เงินเอเชียรวมถึงบาทอาจอ่อนค่า และดัชนีเงินดอลลาร์อาจกลับมาแข็งค่าบ้าง 2) เลขเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มแย่ลง และ กนง. มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อในปีนี้ 3) สกุลเงินเอเชียอาจอ่อนค่าเทียบต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากค่าเงินจะช่วยบรรเทาผลจาก Tariffs ได้บางส่วน โดยธนาคารกลางอาจตั้งใจปล่อยให้ค่าเงินอ่อน และ 4) Dividend payout รวมถึงฤดูกาลท่องเที่ยวที่หมดลง

สำหรับในระยะยาว เงินบาทมีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ตามทิศทางการอ่อนค่าของดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยมองกรอบราว 32.50-33.50 บาทต่อดอลลาร์ ณ สิ้นปีนี้ เนื่องจาก 1) เงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าจากความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐ ที่ลดลง โดยเศรษฐกิจสหรัฐที่อ่อนแอลงทำให้ Fed อาจลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในครึ่งปีหลัง 2) สกุลเงินหลักอื่นมีแนวโน้มแข็งค่าเทียบดอลลาร์ เช่น เงินยูโรแข็งค่าจากเงินทุนไหลกลับเข้ายุโรป ตามแนวโน้มมาตรการกระตุ้นและนักลงทุน Diversify portfolio ออกจากสินทรัพย์สหรัฐ และ 3) ราคาทองมีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง ขณะที่ราคาน้ำมันลดลง ช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าได้