นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า มีแนวความคิดในการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับผู้ประกอบการที่มีรายได้จากธุรกิจต่อปีต่ำกว่า 1.8 ล้านบาท เพิ่มเติมจากปัจจุบันกรมสรรพากรกำหนดว่า ธุรกิจที่มีรายได้ต่อปีตั้งแต่ 1.8 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม นอกเหนือจากภาษีอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม กรณีธุรกิจที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี เช่น อาจมีรายได้ 1.5 ล้านบาท อาจจะมีแวต กลุ่มที่ 2 เหมือนประเทศในยุโรปทำ โดยอาจขอเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 1% ของรายได้ 1.5 ล้านบาท ซึ่งประเมินว่าจะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นราว 2 แสนล้านบาท
ปัจจุบันคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่หันมาทำธุรกิจ มักจะแจ้งรายได้ของธุรกิจให้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาท เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายแวต และเสียเพียงรายได้บุคคลธรรมดา เช่น แจ้งว่ามีรายได้ต่อปี 1.5 ล้านบาท กรมสรรพากรอนุญาตให้หักรายจ่ายแบบเหมาจ่ายได้ 60% ส่วนที่เหลือนำมาเสียภาษี ก็เสียภาษีปีละหมื่นกว่าบาทเท่านั้น
นายพิชัย กล่าวว่า หากสามารถขยายฐานภาษีมูลค่าเพิ่มได้กว้างขึ้น โดยนำคนเข้าระบบให้มากขึ้น จะทำให้รัฐบาลจัดทำงบขาดดุลต่ำลง จากปัจจุบันที่ขาดดุลอยู่ที่ 4.4% ของจีดีพี อาจเหลือแค่ 3.5% หรือรัฐบาลสามารถนำรายได้ที่เพิ่มขึ้นไปลงทุนในโครงการที่เป็นประโยชนต่อประเทศ เช่น การบริหารจัดการน้ำ เป็นต้น
ทั้งนี้ การลดรายจ่ายของรัฐบาลทำได้ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะรายจ่ายประจำ ที่มีข้าราชการเกือบ 3 ล้านคน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเพิ่มรายได้ โดยในปัจจุบันการจัดเก็บรายได้จากภาษีของรัฐบาล ทำได้เพียง 15.5% ของจีดีพีเท่านั้น น้อยกว่าในอดีตที่เคยได้สูงถึง 17%