นายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (ดับเบิยูทีโอ) และอดีตเลขาธิการ องค์การการค้าและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (อังค์ถัด) เปิดเผยว่า แม้ในปี 67 โลกจะเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงก่อนหน้า แต่ยังคงต้องเผชิญกับจุดเปลี่ยนเชิงนโยบายที่กำลังกำหนดทิศทางใหม่ของระบบการค้าโลก ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มที่หลายประเทศหันมาใช้นโยบายกีดกันทางการค้ามากขึ้น ข้อจำกัดที่เพิ่มขึ้นในการเคลื่อนย้ายแรงงานระยะสั้น โดยเฉพาะแรงงานฝีมือและผู้ให้บริการในสาขาวิชาชีพ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความขัดแย้งในหลายภูมิภาค
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีกำลังพลิกโฉมรูปแบบการผลิตและการค้า แม้จะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจแต่หากปราศจากนโยบายการเงินและการคลังที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะในประเทศเกิดใหม่ ก็อาจกลายเป็นความเสี่ยงในระยะยาวได้
“ท่ามกลางความเปราะบางเหล่านี้ ความร่วมมือระดับพหุภาคีและการใช้อำนาจต่อรองร่วมในเวทีระหว่างประเทศ จะเป็นกลไกสำคัญในการปกป้องและส่งเสริมผลประโยชน์ของภูมิภาคอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันแต่ละประเทศจำเป็นต้องมีความเป็นเจ้าของต่อแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของตนเอง โดยไม่ยึดติดกับปัจจัยภายนอก หากแนวนโยบายไม่สอดคล้องกับโครงสร้างพื้นฐาน หรือบริบททางสังคมของประเทศ ก็ไม่อาจสร้างผลลัพธ์ที่ดีได้”
นายคาเมรอน ดาเนชวา เจ้าหน้าที่ฝ่ายเศรษฐกิจ โกบอไลเซชัน และยุทธศาสตร์การพัฒนา ฝ่ายการค้าและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ อังค์ถัด กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่วิกฤติการเงินโลกเมื่อกว่า 15 ปีก่อนโดยปี 67-68 เศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตเพียง 2.7% ต่อปี ต่ำกว่าการเติบโตเฉลี่ยก่อนโควิด-19 การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ซบเซาต่อเนื่องจนกลายเป็นภาวะปกติใหม่ เป็นความท้าทายสำหรับประเทศกำลังพัฒนา ที่แม้ว่าในปี 66-68 เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศดังกล่าว จะยังคงเติบโตเล็กน้อย แต่ก็ไม่เพียงพอสำหรับการพัฒนา
นอกจากนี้ ยังเผชิญกับแรงกดดันจากภาระหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น หลังโควิด-19 ทำให้รัฐบาลของประเทศเหล่านี้ ต้องจัดสรรงบประมาณสำหรับชำระหนี้และดอกเบี้ยมากขึ้นแทนการพัฒนาด้านต่าง ๆ รวมถึงต้องดำเนินนโยบายรัดเข็มขัดเพื่อควบคุมหนี้สาธารณะ ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว เพื่อรับมือกับความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจโลก จึงเสนอให้ประเทศกำลังพัฒนามีการเพิ่มรายได้รัฐผ่านการจัดการการเลี่ยงภาษีของบริษัทข้ามชาติ และสร้างกลไกพหุภาคีเพื่อสนับสนุนการเจรจานโยบายการเงินระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ ควรมีการจัดหาเงินทุนระยะยาว และเครื่องมือทางการเงินใหม่ พร้อมขยายข้อตกลงแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ สำหรับนโยบายควบคุมเงินเฟ้อ ควรมุ่งลดการการผูกขาดและปรับปรุงกรอบกำกับดูแลการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะที่การวางนโยบายการเงิน นอกจากกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อหรือเสถียรภาพของค่าเงิน ควรพิจารณาถึงผลกระทบในวงกว้างอย่างแนวโน้มหนี้สาธารณะ ความยั่งยืนของระบบการเงิน
นายสุภกิจ เจริญกุล ผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและภูมิรัฐศาสตร์โลก อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังมีความเข้มแข็งด้านการค้าภายในภูมิภาคและมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของห่วงโซ่อุปทานโลก โดยประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่สามารถฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างโดดเด่น หลังการแพร่ระบาดของโควิด จึงมีทั้งโอกาสและความท้าทายในการเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมภาคบริการสมัยใหม่ให้มีมูลค่าเพิ่มสูงและเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักควบคู่กับภาคการผลิต พร้อมยกระดับทักษะแรงงานให้สอดรับกับเศรษฐกิจใหม่ที่เน้นเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว รวมทั้งเพื่อรองรับ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน