อย่างที่รู้ๆ กันว่า “ภัยแผ่นดินไหว” ยังคงเป็นภัยธรรมชาติที่ยังไม่สามารถพยากรณ์ได้ การป้องกันและบรรเทาภัยแผ่นดินไหวที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยเทคโนโลยี เครื่องมือ และข้อมูลความสั่นสะเทือนของพื้นดินที่ถูกต้องจากระบบตรวจวัดที่มีมาตรฐาน
สำหรับประเทศไทย เพิ่งประสบกับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ระดับ 8.2 ที่มีศูนย์กลางอยู่ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมา จนส่งผลให้หลายพื้นที่ในไทยรับรู้ถึงแรงสั่นไหว ซึ่งเหตุการณ์ผ่านมา 1 เดือนกว่าแล้ว แต่เหมือนกับว่ามีเหตุการณ์แผ่นดินไหวในไทยถี่ขึ้น มีผล หรือสาเหตุจากปัจจัยอะไร? วันนี้จะมาไขคำตอบจาก “นัฐวุฒิ แดนดี” รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา และ โฆษกกรมอุตุนิยมวิทยา ที่ได้ให้สัมภาษณ์กับ “เดลินิวส์”
คำถามแรกหลายๆ คนอาจจะสงสัยว่า การเกิดเหตุแผ่นดินไหวที่เมียนมา ทำไมระดับความรุนแรงที่หน่วยงานหลายๆ แห่งในต่างประเทศถึงรายงานไม่เหมือนกัน บางแห่งว่ารุนแรงระดับ 7.7 ขณะที่ไทยรายงาน 8.2 ในเรื่องนี้ ทางโฆษกกรมอุตุนิยมวิทยา อธิบายว่า ค่าพารามิเตอร์ต่างๆ ของแผ่นดินไหวจะได้จากการคำนวณจากหลายสถานีรวมกันแล้วหาค่าเฉลี่ย สถานีเครือข่ายของสหรัฐอเมริกาที่ตั้งในไทยมีแห่งเดียวอยู่ที่เชียงใหม่ ส่วนสถานีเครือข่ายไกลออกไปอยู่ที่จีน ซึ่งอยู่ไกลจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวทำให้ได้ค่าเฉลี่ยน้อยกว่า และคลาดเคลื่อนได้สูงกว่า

แต่ขณะเดียวกันสถานีตรวจวัดแผ่นดินไหวของไทยมีอยู่เป็นร้อยสถานีกระจายอยู่ในพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งอยู่ใกล้รอยเลื่อนที่เกิดแผ่นดินไหวที่เมียนมามากกว่า ค่าความคลาดเคลื่อนจึงน้อยกว่า และความแม่นยำ ตามหลักสากล จะให้ประเทศที่อยู่ใกล้ หรือมีสถานีเครือข่ายที่อยู่ใกล้จุดศูนย์กลางที่สุด เป็นค่าที่ถูกต้องที่สุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าค่าความรุนแรงที่วัดได้ของสหรัฐจะผิด แต่ระบบวัดได้แค่นั้น
ส่วนของประเทศไทยจะใช้ค่าที่ตรวจวัดได้จากสถานีในประเทศเองและต่างประเทศมาคำนวณด้วยจึงออกมาเป็นระดับ 8.2 ซึ่งค่าความรุนแรงที่ตรวจวัดได้ในแต่ละที่ไม่จำเป็นต้องเท่ากัน ซึ่งการายงานขนาดของแผ่นดินไหวจะไม่มีหน่วย จะเป็นระดับ 1-10 ซึ่งที่ผ่านมาระดับ 10 ไม่เคยมีเกิดขึ้นในโลก ที่เคยตรวจวัดได้สูงสุด คือระดับ 9.8
อย่างไรก็ตาม หลังเกิดแผ่นดินไหวที่เมียนมา เมื่อ 28 มี.ค.แล้ว หลายๆ คนรู้สึก หรือตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมถึงเกิดแผ่นดินในไทยบ่อยขึ้น ในเรื่องนี้ทาง รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา บอกว่า ปัจจัยสำคัญ คือ มีพลังงานงานส่งออกมาจากแผ่นดินไหวที่เมียนมาในพื้นที่ใกล้ๆ ซึ่งก็คือประเทศไทย เช่น ในพื้นที่ภาคเหนือ ที่มีรอยเลื่อนหลายแห่ง เมื่อมีการส่งพลังงานมาทำให้รอยเลื่อนที่อยู่ใกล้เกิดการขยับไปมาเล็กน้อยๆ แต่จะเป็นแผ่นดินไหวขนาดเล็ก ถือเป็นการปรับสมดุลจากพลังงานที่มาจากแผ่นดินไหวที่เมียนมา
“ขอให้ประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนก เป็นเพียงแผ่นดินไหวขนาดเล็ก เป็นการปรับสมดุลของรอยเลื่อนที่อยู่ในประเทศ อาจจะมีการขยับหรือใกล้ขยับอยู่แล้ว ถือว่าเป็นผลดีกว่าการไม่ขยับตัวเลย ซึ่งจะทำให้เกิดสะสมพลังงานแล้วทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ได้ จึงเป็นเหตุผลว่าในช่วงที่ผ่านมาในไทยเกิดแผ่นดินไหวขนาด 2 และ 3 จำนวนมาก แต่ไม่อันตราย ไม่มีผลกระทบเรื่องอาคารสิ่งปลูกสร้าง”

ในขณะที่ประเทศไทยมีรอยเลื่อนอยู่หลายแห่ง มีพื้นที่ไหนที่ควรเฝ้าระวังและติดตามมอนิเตอร์เป็นพิเศษหรือไม่นั้น ทาง โฆษกกรมอุตุนิยมวิทยา บอกว่า หากพิจารณาจากปัจจัยและข้อมูลต่างๆ แล้ว คือ รอยเลื่อนแม่จัน ที่มีความยาวเกือบ 200 กิโลเมตร ที่พาดผ่านตั้งแต่ อ.ฝาง อ.แม่จัน อ.เชียงแสน เข้าสู่ประเทศลาว ไปถึงประเทศจีน ซึ่งยังไม่เห็นแผ่นดินไหวขนาดใหญ่หลายปีแล้ว และยังไม่มีการปลดปล่อยพลังงานขนาดใหญ่ออกมา ซึ่งทางกลุ่มนักวิชาการด้านแผ่นดินไหวได้พยายามมอนิเตอร์ดูแนวโน้มอยู่ตลอด ซึ่งในรอบ 30-40 ปี อาจเกิดในระดับ 6 ขึ้นไปได้ ซึ่งต้องมอนิเตอร์อย่างใกล้ชิดมากกว่ารอยเลื่อนอื่นๆ ที่เคยเกิดแผ่นดินไหวอยู่เรื่อยๆ เช่น รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ และ รอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ ที่ จ.กาญจนบุรี
“เมื่อก่อนประชาชนอาจจะไม่สนใจ และเห็นว่าแผ่นดินไหวเป็นเรื่องอันตรายถึงไทยได้ เพราะพอเกิดเหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่เมียนมา มีการเสนอข่าว มีการโพสต์โซเชียลมีเดีย จึงอาจทำให้คนวิตกกังวัล หรือเห็นว่าเกิดบ่อยขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วแผ่นดินไหวในไทยเกิดขึ้นเรื่อยๆ แต่เป็นขนาดเล็ก ขนาด 3 และ 4 แต่ที่ผ่านมาเราอาจไม่ได้ใส่ใจแค่นั้นเอง”
ส่วนแผ่นดินไหวขนาดเท่าไหร่จึงสร้างความเสียหายได้นั้น เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งความลึก ความตื้น และจุดศูนย์กลางอยู่ใกล้ชุมชนหรือไม่ ตัวแผ่นดินไหวไม่ได้ทำให้คนเสียชีวิต แต่สิ่งปลูกสร้างที่ถล่มหรือพังเสียหาย เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนเสียชีวิต ถ้าเกิดตื้นใกล้พื้นดินหรือพื้นโลก และใกล้ชุมชน แม้จะมีขนาดแผ่นดินไหวไม่ใหญ่ ก็อาจจะสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้มากกว่าแผ่นดินไหวที่รุนแรงกว่า แต่เกิดลึก และอยู่ห่างไกลชุมชน

อย่างไรก็ตาม ทาง โฆษกกรมอุตุนิยมวิทยา ได้ให้ข้อแนะนำกับคนไทยว่า เรื่องแผ่นดินไหว เป็นสิ่งที่จะอยู่กับเราไปแล้ว ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพี้นที่ที่มีรอยเลื่อนผ่านนั้น อาจจะไม่รู้ตัวว่าเกิดแผ่นดินไหวบ่อยๆ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีเครื่องมือตรวจจับที่ดีมากแล้ว ถือว่าดีที่สุดในภูมิภาคอาเซียน แผ่นดินไหวขนาดน้อยกว่าระดับ 1 ก็สามารถตรวจจับได้ สิ่งสำคัญ คือ “คนไทยต้องตระหนัก แต่อย่าตระหนก” ใช้ชีวิตอยู่กับภัยแผ่นดินไหวให้ได้ ซึ่งแผ่นดินไหวในไทยมีโอกาสน้อยมากที่จะรุนแรงเกิน 7 ซึ่งกฎหมายที่ใช้ควบคุมการออกแบบสิ่งก่อสร้างสามารถรองรับความรุนแรงขนาดนี้ได้
ขณะเดียวกันหากอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงบริเวณรอยเลื่อนต่างๆ ก็สามารถเข้าไปเช็กข้อมูลกับ กรมทรัพยากรธรณี ได้ว่าพื้นที่ใดมีโอกาสเสี่ยงบ้าง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือ เช่น ออกแบบอาคารให้รองรับแผ่นดินไหว เป็นต้น
ขณะเดียวกันในปัจจุบัน กรมอุตุนิยมวิทยา กำลังทำการศึกษาวิจัย ในเรื่อง แจ้งเตือนภัยล่วงหน้าในระยะสั้น กล่าวคือ หากเกิดแผ่นดินไหวในเมียนมาแล้วอาจจะมีเวลา 2-3 นาที เพื่อแจ้งคนใน กทม. ได้รู้ตัวก่อนที่คลื่นแผ่นดินไหวกำลังจะมาถึง ซึ่งหากผลวิจัยออกมาเป็นบวก นำมาใช้งานได้จริง ก็จะขออนุมัติงบประมาณจากรัฐบาลเพื่อติดตั้งระบบนี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน การคมนาคม เช่น ให้รถไฟหยุดวิ่ง และใครอยู่บนตึกสูงจะได้รีบลงมา ก่อนที่คลื่นแผ่นดินไหวจะมาถึง เป็นต้น
ซึ่งในญี่ปุ่นมีการใช้ระบบนี้ สามารถติดตามแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ช่วยให้มีแก็บช่วงเวลาที่จะแจ้งเตือนประชาชนได้ก่อน 1-2 นาที ซึ่งหากได้รับการอนุมัติและวางระบบได้คาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1-2 ปี จะสามารถใช้งานได้
และยังสามารถนำไปใช้เชื่อมต่อกับระบบ “Cell Broadcast” แจ้งเตือนประชาชนเป็นรายพื้นที่ได้ด้วย!?!
จิราวัฒน์ จารุพันธ์