เมื่อวันที่ 10 พ.ค. นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน โพสต์ภาพกราฟิกผ่านเฟซบุ๊ก เปรียบเทียบนักโทษมีเส้นกับนักไม่มีเส้น โดยนักโทษไม่มีเส้น ป่วยเป็นฝีในตับ ใช้เวลาพิจารณาส่งตัว 15 วัน ก่อนถูกส่งตัวไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชวิถี 10 วัน และส่งกลับเรือนจำ ส่วนนักโทษเส้นเคเบิลสะพานแขวน ป่วยเป็นโรคไม่สดชื่น พิจารณาส่งตัว 4 นาที ส่งรักษาตัว รพ.ตร. 180 วัน ก่อนได้พักโทษกลับบ้าน  

โดยนายรังสิมันต์ ระบุข้อความว่า เห็นหลายคนออกมาโต้ว่า ไม่ต้องวิกฤติ ก็สามารถไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจได้ เพราะเป็นการป่วยเฉพาะทาง บลาๆ การออกมาโต้แบบนี้ ยิ่งย้ำว่า 1. ตลอดระยะเวลาที่นายทักษิณรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ไม่ใช่วิกฤติจริงๆ การที่ราชทัณฑ์และรมว.ยุติธรรม ในเวลานั้นออกมาเล่นใหญ่ ทำราวกับว่านายทักษิณป่วยปางตาย จึงเป็นเรื่องเท็จ ขณะเดียวกันบุตรสาวของคุณทักษิณ แม้ในเวลานั้นจะไม่ใช่นายกรัฐมนตรี แต่การได้เห็นหน่วยงานราชทัณฑ์ ออกมาสาปแช่งคุณทักษิณว่าป่วยหนักราวกับต้องกินข้าวผ่านธูป น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กลับเก็บงำเรื่องนี้ไว้ เพราะบิดาของตัวเองได้ประโยชน์จากการอยู่สุขสบายในห้อง VVIP ถ้าจะเถียงว่าไม่จำเป็นต้องวิกฤติ ก็สามารถไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจได้ ทำไมเพิ่งมาเถียงเอาตอนนี้ แต่ตอนนั้นกลับปิดปากเงียบ

นายรังสิมันต์ ระบุอีกว่า 2.ถ้าป่วยไม่วิกฤติ ราชทัณฑ์เขาก็มีโรงพยาบาลของราชทัณฑ์ รวมไปถึงสถานพยาบาลของราชทัณฑ์อีกด้วย ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ หรือถ้าจะอยู่โรงพยาบาลตำรวจ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ยาวขนาดนี้ กระบวนการทั้งหมดคือการสมคบกันเพื่อละเมิดกฎหมาย ยกเว้นกฎเกณฑ์กติกาทั้งปวง เพียงเพราะไม่ต้องการได้ชื่อว่าติดคุกแม้เพียงวันเดียว 3.นายทักษิณอยู่สบายแค่ไหน ก็สบายเพียงพอที่จะให้ใครก็ตามไปเยี่ยมได้ หลักฐานเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรมาก มีคนที่เคยไปเจอคุณทักษิณออกมาเปิดโปงเรื่องนี้ให้ทราบโดยทั่วกันอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น นายทักษิณยังมีโทรศัพท์มือถือเอาไว้ดูโซเชียลมีเดียอีกด้วย

“เอาแค่ 3 ข้อนี้ มันชัดยิ่งกว่าชัดว่า กรณีชั้น 14 เป็นเรื่องราวของการสมคบกันเพื่อกระทำความผิด โดยไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะมีกฎหมายอย่างไร ผมทราบดีว่าตระกูลชินวัตรไม่ได้เลวบริสุทธิ์ เป็นปุถุชนที่มีความชั่วดีผสมกันไป แต่สำหรับเรื่องกรณีชั้น 14 ท่านใช้ดีลปีศาจ สมคบกับอดีตหัวหน้ารัฐประหาร เพื่อช่วยเหลือบิดาของตนเอง ทำลายกระบวนการยุติธรรมจนย่อยยับ”นายรังสิมันต์ ระบุ.