การเมืองช่วงนี้ถือว่าดุเดือด เป็น “นิติสงคราม” รายวัน ระหว่างสีแดง กับ สีน้ำเงิน แลกกันคนละหมัด จากปมร้อน “การฮั้วเลือก สว.” ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ ให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ในฐานะกรรมการคดีพิเศษ ( กคพ.) ที่สั่งสอบเรื่องฮั้ว สว. ซึ่ง สว.ยื่นว่า เป็นการแทรกแซงการทำหน้าที่ของ กกต. ข่มขู่และกลั่นแกล้ง สว. ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจ ที่ฝ่ายบริหารจะเข้ามาแทรกแซงฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมหรือไม่
“พ.ต.อ.ทวี มีหน้าที่และอำนาจ ในการสั่งและปฏิบัติราชการไปถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ ( ดีเอสไอ ) จึงให้ พ.ต.อ.ทวี หยุดปฏิบัติหน้าที่ รมว.ยุติธรรม เฉพาะในฐานะผู้กำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ ( ดีเอสไอ ) และรองประธาน กคพ. ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำวินิจฉัย ซึ่ง พ.ต.อ.ทวีจะต้องทำเอกสารชี้แจงต่อไป”
เรื่องนี้เกิดแรงสั่นสะเทือนในกรมดีเอสไอ ข่าวว่า การดำเนินการที่เกี่ยวกับคดีฮั้ว สว. อาจจะต้องมีการชะลอการสอบสวนออกไปก่อน เพราะ พ.ต.อ.ทวี จะไม่สั่งการอะไรทั้งสิ้น หรืออาจต้องรอให้มีผู้แทน รมว.ยุติธรรม หรือ รมว.ยุติธรรมคนใหม่ เข้ามาสั่งการนโยบายต่อไป ทั้งนี้ ข้าราชการประจำอาจไม่กล้าขยับดำเนินการ เพราะในการทำสำนวนคดีของดีเอสไอ การประชุมสรุปสำนวนคดี การมีความเห็นทางคดี จะต้องรายงานต่อผู้บังคับบัญชา คือ รมว.ยุติธรรม
ขณะที่ “สว.” ก็สู้ยิบตา เพราะหากที่สุดแล้ว ดีเอสไอทำสำนวน ได้ผลที่ไม่เป็นคุณ ต้องขึ้นศาล ความผิดเป็นหางว่าว ผิด พ.ร.ป.ได้มาซึ่ง สว. ผิดคดีฮั้ว อั้งยี่ ที่อาจลามไปถึงฟอกเงิน และศักดิ์ศรีถูกทำลายยับ เมื่อสกัดด่านแรก รมว.ยุติธรรมได้ สว.กลุ่ม 138+2 ที่มีข่าวว่าถูกสอบ คงง้างมีดรอแล้ว ถ้าข้าราชการดำเนินการต่อ โดยเอาคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญมาอ้าง ทำนองว่า รัฐมนตรียังโดนศาลรับสอบจริยธรรมที่ฝ่ายบริหารมาก้าวก่าย แล้วข้าราชการกล้าทำต่อหรือไม่?
โดย พ.ต.อ.ทวี ยืนยันว่า ดำเนินการต่อได้ กระบวนการไม่หยุดชะงัก เป็นอิสระของพนักงานสอบสวน และ กกต. ก็เป็นอีกองค์กรหนึ่งที่ตรวจสอบ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้อยู่ในภาวะเหมือนเพิ่งตีฝุ่นให้ตลบ ยังไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวอะไรมากนัก ในส่วนดีเอสไอ องค์กรราชการ อาจต้องรอความชัดเจนจากฝั่งการเมืองให้“ลุยต่อได้” ตัวแปรอาจเป็นรัฐมนตรีคนใหม่ที่มาดูแลดีเอสไอแทนไปพลาง ซึ่งน่าจะเป็น “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม
ดูเหมือน “ขั้วสีน้ำเงิน”กำลังใช้แต้มต่อเขย่า“ห้ามแตะพวกเรา” และหักกับ สว.ต่างขั้ว พร้อมเดินหน้าเลือกองค์กรอิสระต่อไป คือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ สว.ต้องเห็นชอบ 2 คน และต้องเห็นชอบ กกต.คนใหม่อีก 1 คน คำวินิจฉัยออกมาก็เป็นเครื่องมือโต้ให้สายสีน้ำเงินเดินหน้าทำงานต่อ การเลือกตุลาการนั้นสำคัญ เพราะอาจมีผลไปถึงการวินิจฉัย ต้องทำประชามติกี่ครั้งในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เผลอๆ 2 เสียงที่เข้าไป อาจร่วมวินิจฉัยข้อกล่าวหา พ.ต.อ.ทวี ด้วย

ฝั่งน้ำเงินออกเกมรุก ฝั่งแดงกำลังออกเกมป้องกัน “กล่องดวงใจ”อย่างหนัก พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ อดีตนายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ได้ขอความเป็นธรรมไปยัง รมว.สาธารณสุข ว่า มติแพทยสภาไม่ชอบธรรม นายสุรินทร์ สู่สวัสดิ์ ทนายความของ พล.ต.ท.โสภณรัชต์ บอกว่า “แพทย์ทั้งสองไม่ได้รักษา แต่ให้สัมภาษณ์สิ่งที่รู้จากแพทย์รักษา” และว่าจะร้องศาลปกครองหากไม่ได้รับความเป็นธรรม
สถานการณ์อะไรไม่ค่อยเป็นคุณกับ “ฝั่งแดง” สักเท่าไร อีกทั้ง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ก็ถูกจับตาอย่างหนัก ในการวินิจฉัยมติแพทย์สภาและคำร้อง 2 หมอ ภายใน 15 วัน หากไม่สั่งตามมติแพทยสภา จะอธิบายสังคมอย่างไร ? กลายเป็นฝั่งแดงยิ่งเสียเปรียบว่าสุดท้ายก็ข้ามไม่พ้น “นายใหญ่”
ขณะที่ถ้าการทำคดีฮั้ว สว.ชะงัก แต่ สว.ยังเดินหน้าทำหน้าที่ต่อ ก็อาจไม่เป็นคุณกับ“ขั้วฝ่ายแดง” เท่าไร โดยเฉพาะในด้านที่เกี่ยวกับงานสภา อย่างที่ สว.เคยคว่ำกฎหมายประชามติชั้นเดียวมาแล้ว
จึงต้องจับตาปมร้อนเรื่อง“ชั้น 14” กับ “สอบฮั้วสว.”ชะงัก อาจเป็นตัวแปรให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรัฐบาลตามมาก็ได้ ?