จากสถิติการรับแจ้งความคดีออนไลน์ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 66–31 มี.ค. 68 พบว่า มีการรับแจ้งความออนไลน์คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จำนวนทั้งสิ้น 5.19 แสนคดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายมากกว่า 5.07 หมื่นล้านบาท

แม้ว่ารัฐบาลจะเร่งปราบปราม กวดขันตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ตัดไฟ และอินเทอร์เน็ต รวมถึงการออกพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มาบังคับใช้แล้ว

ซึ่งช่วยลดความเสียหายรุนแรงที่เกิดขึ้นกับประชาชนลงได้ แต่ปัจจุบันยังคงเกิดการหลอกลวงโดย “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” อยู่อย่างต่อเนื่อง

รวมถึงการที่มิจฉาชีพได้พัฒนากลวีธี และรูปแบบการหลอกหลวงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการหลอกลวงผ่านการโทรศัพท์และส่ง SMS หลอกลวงประชาชน

ภาพ pixabay.com

ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) จึงได้พัฒนา “แพลตฟอร์มกันลวง” หรือ “DE-fence platform” เพื่อประชาชนใช้เป็นเครื่องมือเพื่อป้องกัน “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” โทรหรือส่ง SMS มาหลอกลวง

โดยได้ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงนาม MOU เพื่อสนับสนุนโครงการ “DE-fence platform”

“ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ดีอี  บอกว่า แพลตฟอร์มกันลวง หรือ “DE-fence platform” ซึ่งจะเป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ในการแจ้งเตือนประชาชน ช่วยในการคัดกรองสายเรียกเข้า และข้อความสั้นของคนร้าย รวมถึงช่วยยืนยันเบอร์โทรจากหน่วยงานสำคัญ เช่น ตำรวจ หรือ สถาบันการเงิน เป็นต้น ซึ่งจะเป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการใช้งานป้องกันปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ประเสริฐ จันทรรวงทอง

“DE-fence platform เป็นการบูรณาการการทำงานของผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ทั้งกลุ่มผู้ให้บริการโทรคมนาคม กสทช. ผู้บังคับใช้กฎหมาย อาทิ ตำรวจ และ กระทรวงดีอี เพื่อสอดรับกับนโยบายภาครัฐที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และข้อความสั้น หรือ SMS หลอกลวง โดยล่าลุดได้มีลงนาม MOU กับ 16 พันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมสนับสนุนโครงการนี้”

ทั้งนี้มาตรการนี้ เป็นการป้องกันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้การโทรและส่ง SMS หลอกลวงประชาชน ควบคู่กับมาตรการลงทะเบียนผู้ให้บริการส่ง SMS แนบลิงก์ใหม่ทั้งระบบ และต้องมีการลงทะเบียนทุกๆ ปี เพื่อให้สามารถระบุว่า ผู้ให้บริการ และ ผู้ส่ง SMS คือใคร รวมทั้งการลงทะเบียนการส่ง SMS แนบลิงก์ จะต้องระบุรายละเอียดของข้อความ และลิงก์ เพื่อให้ผู้ให้บริการเครือข่าย ตรวจสอบลิงก์ ก่อนที่จะส่ง SMS ไปยังผู้ใช้บริการ (End user)

ด้าน “เวทางค์ พ่วงทรัพย์”  เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สดช.) หรือ BDE  และโฆษกกระทรวงดีอี บอกว่า สดช. ได้เร่งพัฒนา DE-fence platform ให้พร้อมใช้แล้ว สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ผ่าน กูเกิล เพลย์ และ ไอโอเอส ของ แอปเปิล ผ่าน แอป สโตร์  สำหรับจุดเด่นของ DE-fence platform คือ การเชื่อมต่อฐานข้อมูลระหว่างผู้ประกอบการโทรคมนาคม เพื่อให้ได้ข้อมูลเลขหมายที่เป็นปัจจุบันมากที่สุด รวมถึงการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลของ ตร. ปปง. ศูนย์ AOC 1441 และ กระทรวงดีอี เพื่อใช้ในการเตือนประชาชน ทำให้ประชาชนทราบข้อมูลของผู้โทรเข้าว่า เป็นมิจฉาชีพหรือไม่ ความเสี่ยงของเบอร์โทรอยู่ระดับใด ก่อนที่จะรับสายหรืออ่านข้อความ SMS รวมถึงสามารถตรวจหาความผิดปกติของ Link ที่แนบมากับ SMS ได้ เมื่อผู้รับต้องการตรวจสอบ

เวทางค์ พ่วงทรัพย์

นอกจากนี้ยังมีระบบการแจ้งความออนไลน์ และการแจ้งอายัดบัญชีคนร้าย ผ่านโทรสายด่วน AOC 1441 พร้อมระบบการยืนยันตัวตนของผู้ใช้งาน เพื่อส่งข้อมูลให้กับ ตร. ทั้งนี้ระบบจะมีการทำงานแบบ Real time เพื่อเป็นข้อมูลให้กับ ตร. และ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ในการวิเคราะห์และวางแผนในการปราบปรามและป้องกันการหลอกลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพและดำเนินการปราบปรามการกระทำผิดของมิจฉาชีพได้ทันที

“เวทางค์ พ่วงทรัพย์”  อธิบายต่อว่า  DE-fence platform จะใช้หลักการในการแบ่งสายโทรเข้า รวมถึง SMS ที่ได้รับ เป็น 3 กลุ่ม คือ 1.Blacklist หรือ สีดำ ซึ่งเป็นหมายเลขการติดต่อจากคนร้ายที่ได้รับการยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และแนะนำให้ผู้ใช้บริการเลือก Block หรือ ปิดกั้นแบบอัตโนมัติ

2.Greylist หรือ กลุ่มต้องสงสัย เป็นการติดต่อจากหมายเลขที่ต้องสงสัย อาทิ การติดต่อจากอินเทอร์เน็ต การติดต่อจากต่างประเทศ หรือ หน่วยงานเกี่ยวข้อง หรือ ประชาชนทั่วไปแจ้งว่าเป็นเบอร์ต้องสงสัย โดยระบบจะแจ้งเตือนให้ผู้ใช้บริการได้รู้ถึงระดับความเสี่ยงของสายโทรเข้า หรือ SMS ดังกล่าว

ภาพ pixabay.com

และ 3.Whitelist หรือ สีขาว เป็นหมายเลขหน่วยงานที่ลงทะเบียนถูกต้อง และได้รับการยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าเป็นหมายเลขของหน่วยงานรัฐ หมายเลขโทร 3–4 หลัก เช่น 1111 เป็นต้น

เลขาธิการ สดช. บอกอีกว่า  การพัฒนา DE-fence platform ในระยะแรกจะเน้นที่เบอร์โทร และ SMS ก่อน โดยเฉพาะ whitelist ที่เป็นของหน่วยงานรัฐ ที่คนร้ายมักใช้ในการหลอกลวงประชาชนก่อน และในระยะต่อไปจะขยาย whitelist ให้ครอบคลุมหน่วยงานและบริษัทมากขึ้น พร้อมทั้งขยายการป้องกันและแจ้งเตือน โดยวางเป้าหมายว่าจะมีผู้ใช้ประจำ กว่า 1 ล้านคน

ถือเป็นการร่วมมือของภาครัฐและเอกชน พัฒนาเครื่องมือหวังปิดเกมมิจฉาชีพไซเบอร์ให้ลดน้อยลงจากประเทศไทย!!

จิราวัฒน์ จารุพันธ์