เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 20 พ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เรื่องของแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในกรอบวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ตามมติของคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 19 พ.ค. เห็นชอบในการทบทวนค่าใช้จ่ายงบประมาณปี 2568 งบกลางรายการค่าใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน นอกจากนี้ได้มีการรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากหลายฝ่าย ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ขอให้รัฐบาลทบทวนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลก ซึ่งเมื่อรับฟังแล้วจึงจำเป็นต้องเร่งปรับนโยบายเศรษฐกิจที่มีความจำเป็นและเร่งด่วนเพื่อสร้างรากฐานการเติบโตระยะยาวและพัฒนาเศรษฐกิจให้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีการปรับแผนและเปลี่ยนเงินก้อนนี้มาลงทุนในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานและลงทุนในมนุษย์ที่เป็นการลงทุนระยะยาว
นายกฯ กล่าวว่า ครม.ยังเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจและพิจารณาแล้ว พร้อมเอกสารประกอบงบรวม 39 เล่ม และขอให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป โดยจะพิจารณาวาระ 1 ในวันที่ 28-30 พ.ค. โดยร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเป็นการกำหนดให้ตั้งงบปี 2569 จำนวนไม่เกิน 3.7 ล้านล้านบาท
เมื่อถามว่านายกฯ ใช้คำว่าชะลอแปลว่าคนยังหวังดิจิทัลวอลเล็ตได้อยู่ หรือจริงๆ เป็นการยกเลิกแต่รัฐบาลไม่กล้าพูดกลัวกระทบฐานเสียง นายกฯ กล่าวว่า เราต้องพูดกันให้เข้าใจก่อนว่าตอนนี้ปัญหาที่เข้ามาแทรก คิดว่าประเทศไทยก็คงไม่อยากได้ปัญหานี้ เพราะฉะนั้นถามว่าเราไม่บอกว่ายกเลิก เพราะถ้าสมมุติเรากลับมาทำอีกในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจมันดีขึ้น แล้วการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบนี้จะได้ผลมากที่สุด เราก็มีความหวังว่าเราก็อยากจะให้อะไรที่มีประโยชน์สูงสุดในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศมันก็ต้องได้ทำ ฉะนั้นที่คณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ทบทวนการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตยังไม่ใช่ตัวกระตุ้นที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้นเราต้องรับฟัง และถามว่าตัวกระตุ้นไหนดีที่สุดสำหรับประเทศ นั่นคือสิ่งที่เราทำอยู่ กับสถานการณ์ปัจจุบันที่มีเรื่องกำแพงภาษีเข้ามา ตอนนี้ก็เป็นแบบนี้
เมื่อถามต่อว่าต่อไปการหาเสียงของพรรคเพื่อไทยในอนาคตหากสัญญาอะไรไปแล้วไม่เป็นตามนั้นจะกระทบเสียงของพรรค นายกฯ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเวลาหาเสียงเราประเมินสถานการณ์ว่าเราทำได้จริง แต่ไม่มีใครพูดถึงเรื่องกำแพงภาษีสหรัฐขึ้นมา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีประเทศไหนคาดคิด ไม่ใช่แค่ประเทศไทย และสิ่งที่เป็นสถานการณ์พิเศษออกมา เป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ แต่ถามว่าเราทำไม่ได้จริงไหม ไม่จริง เพราะเราได้ทำไปแล้ว ไม่ใช่ว่านโยบายนี้ทำไม่ได้ แต่สถานการณ์ที่แทรกมามันสุดวิสัย ไม่ใช่ว่าทำๆ อยู่แล้วจู่ๆ ยกเลิก หรือว่าไม่ทำแล้ว ชะลอ มันก็ไม่ได้ชะลอ แต่ว่าทุกครั้งมันผ่านความคิดเห็นแล้วมันผ่านได้ ทุกครั้งที่เราทำ 2 ครั้งที่เกิดขึ้นมันผ่านได้ แต่ครั้งนี้มีเหตุการณ์ใหม่คือเรื่องของภาษีเข้ามา มันผ่านไม่ได้ ความจริงมันก็แค่นั้นเอง
เมื่อถามต่อว่า จะให้ สส.พรรคเพื่อไทยทำความเข้าใจกับประชาชนที่หย่อนคะแนนให้อย่างไร นายกฯ กล่าวว่า แน่นอน จะต้องทำความเข้าใจแน่นอน แต่ถามว่าแล้วเงินก้อนนี้ไปไหน เราทำโครงสร้างพื้นฐานของประเทศใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของน้ำ ทั้งอุปโภคบริโภค น้ำท่วมน้ำแล้ง เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ของประเทศ เราทุกคนได้ประโยชน์ในเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่ลงความเห็นมาแล้วว่าต้องทำก่อนแจกเงินหมื่นหรือดิจิทัลวอลเล็ตที่จะเกิดขึ้นกับบางกลุ่ม
เมื่อถามอีกว่า การลงทุนในเรื่องดังกล่าวตามที่นายกฯ กล่าวมา คนยังมองไม่ออกว่าจะไปต่อกรกับกำแพงภาษีของสหรัฐอย่างไร หรือจะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำหรือเปล่า นายกฯ กล่าวว่า เงิน 1.57 แสนล้านบาทก้อนนี้เป็นก้อนที่จะมาจากงบกลาง ซึ่งต้องใช้ให้หมดในวันที่ 30 ก.ย.นี้ อันนี้มันไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่จะไปจัดการเรื่องกำแพงภาษี ซึ่งกำแพงภาษีอยู่ในเรื่องนโยบายว่าจะทำอย่างไรบ้างต้องเปลี่ยนหรือปรับอะไรบ้างกับทางสหรัฐ ส่วนงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาทนี้ จะใช้ได้ถึงวันที่ 30 ก.ย. เพราะฉะนั้นเราต้องวางแผนว่าระยะสั้นที่จะใช้เงินก้อนนี้สร้างประโยชน์อะไรกับประชาชนบ้าง และหลังวันที่ 30 ก.ย.นี้มีนโยบายระยะกลาง ระยะยาวรอรับต่อจากงบประมาณก้อนนี้
เมื่อถามถึงกรณีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีนักธุรกิจใหญ่ไปพบนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ถือเป็นสัญญาณที่ดีหรือไม่ แล้วเกี่ยวอะไรกับดีลลับที่นายกฯ เคยพูดหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า พอดี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ไม่ได้เดินทางไป จึงไม่ทราบว่าได้คุยอะไรกัน แต่การเดินทางไปของนักธุรกิจใหญ่ไม่ได้ประสานกับรัฐบาล ก็บอกแล้วว่าเสียดายที่นายทักษิณ ไม่ได้ไป
เมื่อถามว่า นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานกรรมการบริหารของกัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ ได้รายงานอะไรให้นายกฯ รับทราบบ้างหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่มี ไม่ได้คุย แต่ท่านพูดคุยกับนายกฯ กาตาร์บอกว่ามาทักทาย
เมื่อถามต่อว่าจะให้นายสารัชถ์ เข้ามาช่วยเจรจาเรื่องกำแพงภาษีด้วยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เราต้องทำตามระบบก่อนว่าอย่างไรและความจริงไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจใหญ่เจ้าไหน ถ้าเกิดประโยชน์กับรัฐบาล ตนว่าทุกฝ่ายควรร่วมมือกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นนักธุรกิจใหญ่ เป็นธุรกิจเล็กก็ได้ถ้าสามารถช่วยรัฐบาลได้ยิ่งดี.