เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. นพ.ยุทธนา วรรณโพธิ์กลาง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ ให้สัมภาษณ์การเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า โรงพยาบาลพนมดงรัก และ รพ.กาบเชิง เป็นโรงพยาบาลชุมชนติดชายแดน ซึ่งมีการยกระดับตามสถานการณ์ โดยหากเกิดเหตุรุนแรงหรือเหตุปะทะ ได้เตรียมพร้อมส่งมอบโรงพยาบาลให้เป็น “โรงพยาบาลสนาม” ที่ผ่านมาได้ร่วมกับทางทหารซักซ้อมแผนดังกล่าว โดยหากเกิดเหตุและมีการส่งมอบ รพ. เป็น รพ.สนามของทางทหารแล้ว บุคลากรใน รพ. ทั้งสองแห่ง รวมทั้งบุคลากรใน รพ.สต. ทุกแห่ง จะถอนกำลังจากพื้นที่ และเข้ารายงานตัวยังโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และจุดรายงานตัวในศูนย์พักพิงชั่วคราวตามที่กำหนดไว้ เพื่อสนธิกำลังกับพื้นที่ให้บริการประชาชนต่อไป
ทั้งนี้ หากต้องอพยพประชาชนชายแดน จ.สุรินทร์ คาดว่ามีประมาณ 144,300 คน ทางจังหวัดสุรินทร์ ได้เตรียมพร้อมจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับ พร้อมทั้งจัดหน่วยบริการดูแลรักษาพยาบาลในศูนย์พักพิง และหากมีเหตุจำเป็นที่โรงพยาบาลที่กำหนดไว้ไม่สามารถรองรับบริการได้เพียงพอ ก็พร้อมจัดตั้ง “โรงพยาบาลสนามสำหรับประชาชน” ซึ่งจะมีทีม MERT ทีมปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์และสาธารณสุข จ.สุรินทร์ และเขตสุขภาพที่ 9 ร่วมดำเนินการ
“หากจำเป็นต้องอพยพจริงๆ มีการซักซ้อมแผนร่วมกับทางทหาร อย่างผู้ป่วยในของ รพ. ทั้งสองแห่ง ก็จะมีการรีเฟอร์ หรือส่งต่อไปยัง รพ.ชั้นในต่อไป เช่น รพ.ปราสาท รวมถึง รพ. อื่นๆ ตามลำดับ เช่น รพ.สุรินทร์ รพ.สังขะ รพ.ท่าตูม รพ.รัตนบุรี เป็นต้น ส่วนผู้ป่วยในที่ไม่หนักก็จะกระจายไป รพ.ชุมชนอื่นๆ ต่อไป” นพ.ยุทธนา กล่าวและว่า สำหรับขณะนี้ประชาชนมีค่อนข้างวิตกกังวล ซึ่งมีหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ ทั้ง รพ.ชุมชน และ รพ.สต. ดูแล แต่หากสถานการณ์ยืดเยื้อ ทาง สสจ. เตรียมส่งทีมเฉพาะ (MCATT) ไปร่วมดูแล
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีสัญญาณเตือนอย่างไรว่าต้องอพยพ นพ.ยุทธนา กล่าวว่า จะมีแผนการดำเนินการตามระดับต่างๆ อย่างเช่นขณะนี้เป็นระดับ Alert อยู่ในช่วงการเฝ้าระวัง และหากมีการปะทะด้วยอาวุธเบา เราก็จะอพยพผู้ป่วยในทันทีเพื่อความปลอดภัย ซึ่งจะมีแผนที่วางไว้ในแต่ระดับ
เมื่อถามว่า คนกัมพูชาเข้ามารักษาในพื้นที่ชายแดนของ จ.สุรินทร์ มากหรือไม่ นพ.ยุทธนา กล่าวว่า ไม่มากนักอยู่ เฉลี่ยปีละ 9,000 -10,000 คน
ถามอีกว่าขณะนี้มีข่าวว่าทางการกัมพูชาออกมาตรการไม่ให้คนในประเทศเข้ารับการรักษาในประเทศไทย จะส่งผลต่อการรับบริการ ค่ารักษาที่หายไปหรือไม่ นพ.ยุทธนา กล่าวว่า ไม่ได้ส่งผลกระทบมาก เพราะคนกัมพูชาเข้ารักษาใน จ.สุรินทร์ คิดเป็นยอดค่ารักษาที่เรียกเก็บประมาณ 49-50 ล้านบาทของปี 2567 ซึ่งเป็นรายรับที่รวมต้นทุน ส่วนใหญ่จ่ายค่ารักษา แต่มีค้างชำระมีประมาณ 1 ล้านบาท ทั้งนี้โดยส่วนใหญ่เข้ามาแบบถูกกฎหมาย เข้ามาโดยมีหนังสือเดินทาง หรือ Border pass เข้ามาอยู่ได้ภายในจังหวัดตามเวลาที่กำหนด แต่ไม่ว่าจะมาแบบใด เราก็ให้การดูแลโดยยึดหลักมนุษยธรรม
“ในจังหวัดสุรินทร์ รายได้จากการเข้ารับบริการของชาวกัมพูชาไม่ได้มาก ประมาณ 40-50 ล้านบาทต่อปี ซึ่งถือว่าน้อย ถ้าเทียบกับงบประมาณบัตรทองและแหล่งอื่นในประเทศ เพราะภารกิจหลักของเรา คือ การดูแลคนไทย งบประมาณส่วนใหญ่จึงมาจากระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการทบทวนเกณฑ์การยกระดับภาวะฉุกเฉินกรณีภัยการสู้รบ แบ่งออกเป็น 5 ภาวะ หรือ 5 ระดับ ดังนี้ 1.ภาวะปกติ เป็นการติดตาม (Watch mode) สถานการณ์ชายแดนในภาวะปกติ 2.ภาวะฉุกเฉินระดับ 1 ตื่นตัว (Alert mode) มีประเด็นความขัดแย้งระหว่างชายแดน 3. ภาวะฉุกเฉินระดับ 2 ตอบโต้ระดับ 1 (Response) มีประเด็นความขัดแย้งระหว่างชายแดนอย่างรุนแรง เกิดการสู้รบโดยใช้อาวุธเบาในพื้นที่ชายแดน 4. ภาวะฉุกเฉินระดับ 3 ตอบโต้ระดับ 2 (Response) เกิดการสู้รบโดยใช้อาวุธหนักในพื้นที่ชายแดน, มีการอพยพของประชาชนใน 1 อำเภอชายแดน และ 5. ภาวะฉุกเฉินระดับ 4 ตอบโต้ระดับ 3 (Response) เกิดการสู้รบโดยใช้อาวุธหนักในพื้นที่ชายแดน, มีการอพยพของประชาชนใน 4 อำเภอชายแดน หรือ มีการประกาศกฎอัยการศึก.