รัฐบาลได้เร่งดำเนินนโยบาย “Cloud First Policy”  ที่ให้ให้หน่วยงานภาครัฐให้ความสำคัญและนำบริการคลาวด์มาใช้เป็นหลักในการให้ดำเนินงานและบริการประชาชนและขับเคลื่อนสู่ “รัฐบาลดิจิทัล”

นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยประหยัดงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ จากที่ผ่านมาแต่ละหน่วยงานได้ตั้งงบประมาณในการใช้บริการคลาวด์ของตนเอง ต่อจากนี้จะมีการตั้งงบประมาณและจัดซื้อจัดจ้างแบบรวมศูนย์  และมีผ่านการใช้งาน  คลาวด์กลางของรัฐ (GDCC) ซึ่งดำเนินการโดย สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สดช.)  และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จํากัด (มหาชน)  หรือ NT ภายใต้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)

ขณะเดียวกัน ทางคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ได้มอบหมายให้ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA เดินหน้าแผนการขับเคลื่อนนโยบายการใช้คลาวด์เป็นหลัก โดยทำหน้าที่เป็นผู้บริหารจัดการการบริการคลาวด์ภาครัฐ (Government Cloud Management) พร้อมทั้งให้ดำเนินการขึ้นทะเบียนผู้ให้บริการคลาวด์ ตรวจสอบ ติดตามมาตรฐานผู้ให้บริการคลาวด์ ดูแลแผนงานและบูรณาการงบประมาณคลาวด์ภายใต้แผนบูรณาการงบประมาณรัฐบาลดิจิทัล เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการงบประมาณในการจัดหาบริการ cloud มีประสิทธิภาพ

“วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ” ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) บอกว่า จากการสำรวจหากผลักดันทุกหน่วยขึ้นคลาวด์ ความต้องการจะทะลุเกิน 200,000  VM  (วิชวล แมชชีน)   โดยเฉพาะเมื่อรวมระบบใหญ่ที่กำลังทยอยสร้าง อาทิ ระบบ อีอาร์พี หรือระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ

 ขณะที่ปัจจุบัน คลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC)  สามารถให้บริการออยู่ที่ 46,215 VM มีหน่วยงานรัฐใช้ 204 กรม 1,182 หน่วยงาน 3,753 ระบบงาน เท่านั้น ( ข้อมูล ณ เดือน เม.ย.68) ส่งผลให้ หน่วยงานรัฐส่วนใหญ่ยังไม่สามารถนำข้อมูล หรือ ดาต้า ขึ้นคลาวด์ได้อย่างทั่วถึง เนื่องจากข้อจำกัดด้านความจุ (คาปาซิตี้ ) ของระบบปัจจุบัน          

“แผนขยายโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ของ GDCC  ยังได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล โดยในปีงบประมาณ 69 คาดว่าจะได้รับการจัดสรรงบประมาณวงเงินกว่า 1,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมีการสนับสนุนเพิ่มเติมจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ กองทุนดีอี รวมเป็น 2,000 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น”

สิ่งที่กำหนดเร่งดำเนินการตอนนี้คือ การกระบวนการย้ายข้อมูล ขึ้นคลาวด์  แต่ต้องรอการออกมาตรฐานแบ่งชั้นข้อมูล ตามระดับความอ่อนไหว  เพื่อกำหนดว่าข้อมูลประเภทใดต้องเก็บไว้กับภาครัฐ ข้อมูลใดต้องเก็บอยู่ในประเทศ หรือข้อมูลใดสามารถใช้บริการเอกชนได้ ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาโดยคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล  โดบเบื้องต้นการกำหนดชั้นความลับข้อมูลคลาวด์ มี 5 ระดับ โดยระดับ 1-3 จะเป็นข้อมูลทั่วไปสามารถใช้บริการกับเอกชนได้ ส่วน ระดับความลับสูงสุดเป็นข้อมูลอ่อนไหว คือระดับ 4 และ ระดับ 5 จะต้องใช้บริการบริษัทไทย และข้อมูลต้องเก็บในไทย เป็นต้น

 ซึ่งเมื่อกระบวนการกำหนดมาตรฐานข้อมูลคาดว่าจะแล้วเสร็จ ภายในเดือน มิ.ย.68 จากนั้นจะเริ่มเปิดให้หน่วยงานภาครัฐทยอยย้ายข้อมูลระบบต่างๆขึ้นคลาวด์อย่างเป็นทางการได้  ซึ่งการให้หน่วยงานรัฐมาใช้ระบบคลาว์ดกลางภาครัฐจะเพิ่มความปลอดภัยและลดปัญหาข้อมูลรั่วไหล แต่ยังช่วยให้การสื่อสารระหว่างหน่วยงานและการให้บริการประชาชนมีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากขึ้น

ล่าสุดดีอีได้ ผลักดันการพัฒนาโครงสร้างคลาวด์กลางหลักของภาครัฐ โดยล่าสุดระบบคลาวด์ GDCC Open Data เป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของคลาวด์ภาครัฐตามแนวนโยบาย Go Cloud First  ที่จะช่วยปรับปรุงการทำงานของภาครัฐให้เป็นรัฐบาลดิจิทัลเต็มรูปแบบ ตอบสนองยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาล เพื่อเปลี่ยนผ่านรัฐบาลดิจิทัลและพัฒนาประเทศไทยให้เป็นสังคมดิจิทัลที่มีความสามารถในการแข่งขันระดับโลก

ทั้งนี้ GDCC Open Data คลาวด์กลางรูปแบบใหม่ได้บูรณาการความร่วมมือผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) , Alibaba, AWS, CloudHM, Huawei, INET, NIPA, Microsoft และ Oracle เป็นการยกระดับการทำงานของคลาวด์ภาครัฐ ทั้งด้านทรัพยากรไอที เทคโนโลยีคลาวด์และเอไอ การรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ที่มีมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติที่เป็นสากล  พร้อมรองรับการเป็นโครงสร้างสำคัญให้กับรัฐบาลดิจิทัลเปลี่ยนผ่านการบริหารงานภาครัฐเป็นระบบงานที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-driven)   

ขณะที่ทาง “เวทางค์ พ่วงทรัพย์”  เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.)  บอกว่า GDCC Open Data เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาคลาวด์กลางภาครัฐเพื่อยกระดับการบริการภาครัฐเป็นรัฐบาลดิจิทัลเต็มรูปแบบ โดยความร่วมมือกับผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงพันธมิตรด้านเทคโนโลยีความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่สนับสนุนองค์ความรู้และเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง

“ที่ผ่านมาคลาวด์กลาง GDCC มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูลและการประมวลผล แพลตฟอร์มบริการจัดการสำนักงาน e-Office รวมทั้งขยายบริการด้านแพลตฟอร์มกลางแก่หน่วยงานภาครัฐเพื่อสนับสนุนนโยบายด้านข้อมูลเปิด เช่น ระบบพอร์ทัลกลางสำหรับประชาชน (Citizen Portal) ศูนย์กลางบริการภาครัฐเพื่อภาคธุรกิจ (Biz Portal) ระบบแลกเปลี่ยนประวัติการรักษาผู้ป่วยข้ามโรงพยาบาล (Health Link)  ระบบกลางด้านกฎหมาย (Law Portal) ระบบบัญชีข้อมูลภาครัฐ (GD Catalog) การพัฒนาระบบยืนยันตัวตนกลาง (Digital ID) ฯลฯ”

ในอนาคตการต่อยอดการใช้งานคลาวด์จะเน้นไปที่การต่อยอดด้านการเชื่อมโยงและใช้งานข้อมูล ซึ่งการพัฒนาคลาวด์ระบบใหม่ GDCC Open Data จะสามารถรองรับการพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรม  ที่สามารถตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและสังคมที่ยั่งยืน  ด้วยการนำข้อมูลจาก GDCC Open Data มาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ควบคู่กับการใช้งานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI)  เพื่อสร้างนโยบายและบริการสาธารณะที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง  พร้อมทั้งส่งเสริมความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการดำเนินงานของภาครัฐ   

ภาพ pixabay.com

พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่  เอ็นที กล่าวว่า พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรผู้ให้บริการพับลิกคลาวด์ระดับโลกเพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบคลาวด์ GDCC Open Data รองรับการขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัลด้านการบูรณาการข้อมูลภาครัฐ ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญสู่การเทรน AI ของภาครัฐด้วยข้อมูลของประเทศไทย  โดยเอ็นที ได้พัฒนา Cloud Management Platform (CMP) เพื่อเป็นแพลตฟอร์มกลางในการบริหารจัดการเชื่อมโยงการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างระบบคลาวด์ GDCC และระบบคลาวด์ GDCC Open Data

เพื่อช่วยให้หน่วยงานภาครัฐเลือกใช้บริการคลาวด์ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละงานรวมถึงการบริหารจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

จิราวัฒน์ จารุพันธ์