ในยุคทุนนิยมสุดโต่ง ช่วงกลางศตวรรษที่ 20 มหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลกผลิตนักศึกษาป้อนตลาดแรงงานแบบทุนนิยมมุ่งเน้นการสร้างกำไรสูงสุดให้กับองค์กร สร้างความมั่งคั่งให้ผู้บริหาร พนักงาน และนักลงทุน กระตุ้นการบริโภคนิยมเต็มพิกัด เพื่อขยายยอดขาย และ GDP ของโลกให้เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยไม่คำนึงถึงการพังพินาศของสิ่งแวดล้อม และการล่มสลายของชุมชน ผลที่ตามมาคือวิกฤติเศรษฐกิจต่าง ๆ ทั่วโลก ค่อย ๆ ขยายความรุนแรง จนกลายเป็นปัญหาความไม่ยั่งยืนของทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ในวันนี้

ถ้าเราพัฒนาคนรุ่นใหม่ ให้ใส่ใจสังคม และสิ่งแวดล้อมสำเร็จ โลกของเราคงจะไม่เดินทางมาถึงจุดนี้
ในยุคก่อนปี 2000 การศึกษากระแสหลักเน้นการพัฒนาคนป้อนตลาดทุนนิยม แต่ก็ยังมีการศึกษากระแสรองพัฒนาโครงการเล็ก ๆ โครงการจิตอาสา โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาเพื่อไปอยู่ในชุมชนยากจนทั่วโลก โครงการปั้นผู้ประกอบการเพื่อสังคม แต่เป็นเพียงความเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ค่อย ๆ สร้างเมล็ดพันธุ์แห่งความดีกระจายอยู่ทั่วโลก
ในช่วงปี 1975 นักพัฒนาการศึกษากระแสรองมีความคิดว่า เราต้องเพาะเมล็ดพันธุ์คนรุ่นใหม่ให้ใส่ใจสังคม และสิ่งแวดล้อม เราต้องฝัง DNA เรื่องการมีจิตอาสา ทำงานเพื่อสังคม ให้กับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก โดยคาดว่าหลังปี 2000 ไปแล้วนักศึกษาเหล่านี้ เมื่อเติบโตไปทำงาน จะเป็น Change-Maker ที่ช่วยให้โลกของเรายั่งยืนได้
ในช่วงนั้นที่สหรัฐอเมริกามี โครงการ SIFE Student in Free Enterprise ที่ช่วยพัฒนานักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ให้ลงไปศึกษาชุมชน ดูว่ามีปัญหาอะไร เช่น ปัญหาความยากจน ปัญหาสุขภาพ ปัญหาการศึกษา ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาความขัดแย้ง และปัญหาอื่น ๆ เมื่อลงไปศึกษาชุมชนแล้วก็มาฟอร์มทีมกับเพื่อน ๆ คณะต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย คิดค้นนวัตกรรมทางสังคม แล้วพัฒนาเป็นโครงการแก้ไขปัญหานั้น คิดวิธีระดมทุน หรือตั้งเป็นหน่วยธุรกิจเพื่อสังคม ถือว่าเป็นแนวคิด “วิสาหกิจเพื่อสังคม” ที่มาก่อนกาล ถ้าเป็นสมัยนี้คงเรียกว่า “SDG Start Up”
จากความคิดนี้มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกาก็จัดทีมมาแข่งขันกัน และต่อมาได้ขยายไปทั่วโลก มีการแข่งขันในระดับนานาชาติ ที่เมืองไทยก็มีโครงการแข่งขันนักศึกษา SIFE Thailand มากว่า 20 ปี และต่อมาการแข่งขันนี้จัดต่อเนื่องโดย “มูลนิธิรากแก้ว” พร้อมด้วยเครือข่ายพันธมิตรจากภาคเอกชน และองค์กรไม่แสวงหากำไร เช่น บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ร่วมเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลัก และปีนี้ทีมผู้ชนะจะมีโอกาสไปแข่งขันระดับโลกในเวที “Enactus World Cup 2025”

เป็นโอกาสดีที่องค์กรนานาชาติ Enactus เลือกประเทศไทยเป็นเวทีจัดการแข่งขันโลก ในงาน Sustainability Expo 2025 (SX 2025) ระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ในการแข่งขันระดับประเทศที่ผ่านมา น้อง ๆ จากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศได้พัฒนาโครงการ ลงพื้นที่จริง ทำงานกับชุมชน จนพัฒนานวัตกรรม เริ่มทำเป็นธุรกิจได้ น้อง ๆ ได้นำโครงการ “ผู้ประกอบการทางสังคม” มานำเสนอผ่านขบวนการ Pitching แข่งขันผ่านด่านต่าง ๆ จนถึงรอบสุดท้าย ปีนี้ มีตัวแทนจาก 21 สถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศเข้าร่วมแข่งขัน นำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนด้วยพลังของนวัตกรรมและความคิดแบบผู้ประกอบการ เพื่อสังคม โดยทีมที่ได้รับรางวัล คือ

รางวัลชนะเลิศ คือ “โครงการ Cocoa Go Green” จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร ที่พัฒนาและยกระดับโกโก้ไทยด้วยนวัตกรรม เพิ่มรายได้เกษตรกร แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม และสร้างโมเดลธุรกิจเพื่อสังคมที่ยั่งยืน

รางวัลรองชนะเลิศ คือ “โครงการสานศิลป์ ถิ่นภูมิปัญญา บุรีรัมย์” จาก ทีม Young ผการันดูล มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปลุกพลังภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้ชุมชนกว่า 30 แห่งทั่ว จ.บุรีรัมย์ ให้มีชีวิตใหม่ โดยเชื่อมโยงงานผ้าไหมและจักสานไม้ไผ่กับนวัตกรรม สร้างผลิตภัณฑ์ร่วมสมัย ขยายช่องทางการตลาด
รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 คือ “โครงการ Agro-Power พลังเกษตรเปลี่ยนขยะเศษอาหารเป็นทุนชีวิต” จาก มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ดัดแปลงขยะอาหารและเศษวัสดุทางการเกษตรกว่า 14 ตัน มาสร้างคุณค่าใหม่ แปรรูปขยะอาหาร และของเสียสู่โปรตีน อาหารสัตว์ และปุ๋ยอินทรีย์
รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 3 คือ “โครงการฟังใจ เห็ดเยื่อไผ่ เพื่อชุมชนที่ยั่งยืน” จาก มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ พัฒนาการเพาะเห็ดเยื่อไผ่ ร่วมกับชุมชนครบทุกมิติ ขยายตลาดโดยใช้นวัตกรรม AI ผสมผสานกับ ภูมิปัญญาชุมชน จนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ได้มาตรฐาน อย.
ทั้งนี้ ทีมชนะเลิศจาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันระดับโลก Enactus World Cup 2025 ซึ่งปีนี้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2568 ในงาน Sustainability Expo 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ผู้ร่วมแข่งขันทุกทีมทุ่มเทพัฒนานวัตกรรมเพื่อช่วยเหลือชุมชน และสิ่งแวดล้อม สมควรปรบมือให้ และสนับสนุนให้พัฒนาต่อยอดไปอีก สำหรับ “มูลนิธิรากแก้ว” และองค์กร “Enactus” แล้ว น้อง ๆ ทุกทีมคือผู้ชนะ อย่างน้อยก็ชนะวิธีคิดแบบทุนนิยมสุดโต่งสู่ผู้ประกอบการทางสังคม สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDG เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความดีจากรุ่นสู่รุ่น ที่สร้างสมกันมา 50 ปีแล้ว เราขอบอกน้อง ๆ ทุกคนว่า เราทุกคนคือผู้ชนะ “We All Win”.
