“ทีมข่าวอาชญากรรม” สอบถามถึงการนำเสียงสนทนาที่อัดไว้ไปเผยแพร่จะมีความผิดหรือไม่ กับ ผศ.ดร.เกรียงศักดิ์ พินทุสรศรี ทนายความ และนักกฎหมาย ซึ่งให้ความเห็นว่า การบันทึกเสียงสนทนาทางโทรศัพท์โดยไม่ได้รับอนุญาต และการนำไปเผยแพร่ต่อบุคคลภายนอก ซึ่งอาจนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีเกี่ยวข้องกับการหมิ่นประมาท

การกระทำดังกล่าวแม้โดยทั่วไป การแอบอัดเสียงไว้ในโทรศัพท์จะยังไม่ถือเป็นความผิดทางกฎหมายในทันที แต่หากมีการนำข้อมูลเสียงนั้นไปเปิดเผยต่อสาธารณะ จนก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่น จนกระทบชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกใส่ความ ก็อาจเข้าข่ายหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 ได้ทันที

ทั้งนี้ ผู้บันทึกเสียงจำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากคู่สนทนาก่อนเสมอ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) มิฉะนั้นจะมีความเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องได้

อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นบางประการที่ศาลอาจรับฟังการบันทึกเสียงเป็นพยานหลักฐานได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 กำหนดหลักการเกี่ยวกับพยานหลักฐานในคดีอาญา โดยระบุว่าพยานวัตถุ พยานเอกสาร หรือพยานบุคคลที่น่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีความผิดหรือบริสุทธิ์ สามารถนำมาอ้างเป็นพยานหลักฐานได้ แต่ต้องเป็นพยานที่ได้มาโดยสุจริต ไม่ได้เกิดจากการจูงใจ ขู่เข็ญ หรือวิธีการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอื่น

นอกจากนี้ มาตรา 226/1 ยังกำหนดเพิ่มเติมว่า หากพยานหลักฐานนั้น แม้จะได้มา “โดยมิชอบ” แต่หากการรับฟังพยานหลักฐานนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสียที่เกิดจากการกระทบต่อสิทธิเสรีภาพ ศาลสามารถรับฟังได้

ยกตัวอย่าง กรณีผู้เสียหายแอบบันทึกเสียงผู้ที่ขู่กรรโชก หรือหลอกลวงฉ้อโกง เพื่อใช้เป็นหลักฐานดำเนินคดี ศาลจะพิจารณาจากเจตนาและประโยชน์ที่สาธารณะจะได้รับ จากการเปิดเผยข้อมูลนั้นๆ ซึ่งหากกระทำไปโดยสุจริต เพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะตามที่กำหนดไว้ ก็อาจเข้าข่าย “ข้อยกเว้น” และไม่ถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท อาทิ

ประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 329 ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต (1) เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม (2) ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่ (3) ติชม ด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ หรือ (4) ในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรม เรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุมผู้นั้น ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท

รวมทั้ง มาตรา 330 ในกรณีหมิ่นประมาท ถ้าผู้ถูกหาว่ากระทำความผิดพิสูจน์ได้ว่า ข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง ผู้นั้น “ไม่ต้องรับโทษ” แต่ห้ามไม่ให้พิสูจน์ ถ้าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้น เป็นการ “ใส่ความ” ในเรื่องส่วนตัว และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน

ส่วนกรณีสื่อมวลชนที่บันทึกเสียงแหล่งข่าวโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณะ แม้จะไม่ได้แจ้งล่วงหน้า หากข้อมูลที่นำเสนอเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และทำไปโดยสุจริตเพื่อหน้าที่ที่ต้องการนำเสนอความจริง โดยไม่ได้มีเจตนาใส่ความ หรือทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ศาลมักพิจารณา “ยกฟ้อง”

อย่างไรก็ตาม หากการเผยแพร่นั้นก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงหรือเป็นการใส่ความโดยไม่มีมูลความจริง สื่อมวลชนก็อาจถูกฟ้องร้องทั้งคดีอาญาและแพ่งได้เช่นกัน

ผศ.ดร.เกรียงศักดิ์ ระบุ นอกจากคดีหมิ่นประมาท การนำเสียงสนทนาที่บันทึกไว้ไปใช้ในทางที่มิชอบ เช่น การข่มขู่หรือกรรโชกผู้อื่นก็ถือเป็นความผิดร้ายแรง สามารถถูกฟ้องร้องได้เช่นกัน อาทิกรณีนำคลิปเสียงไปใช้เพื่อเรียกเงินจากคู่สนทนา ซึ่งเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นในวงการต่างๆ โดยเฉพาะบุคคลสาธารณะ

สำหรับกรณีที่เป็นประเด็นขณะนี้ ส่วนตัวหากมองอย่างเป็นกลางไม่อคติและเข้าข้างฝ่ายใด ที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สนทนากับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เป็นการใช้หลักการทูต เพราะเป็นไปไม่ได้ที่มอบแผ่นดินไทยไปให้ฝั่งเขา ก็พูดไปงั้นเองว่าต้องการอะไร จะไปจัดให้จริงๆ แล้วทำไม่ได้

“ผมก็เคยทำคดีเกี่ยวกับที่ดินกว่า 200 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินสาธารณะ ตนก็เข้าไปเขียนสัญญาประนีประนอม แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็บังคับเอาไม่ได้ แต่ที่นายกฯพูดไปก็เพื่อทราบว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร วัตถุประสงค์อะไร”

อย่างไรก็ตาม คนปล่อยคลิปเสียงสุดท้ายจะโดนเสียงสะท้อนกลับ เนื่องจากตามหลักการทูต หรือหลักการส่วนตัวของบุคคลทั่วไป ในด้านวุฒิภาวะต่างๆ ความเป็นผู้นําไม่ควรทำ ต่อไปใครจะไว้ใจ กระทบความเชื่อมั่น ถ้ามองเป็นเรื่องใกล้ตัว อย่างมีเพื่อนที่ชอบแฉเรื่องราวกับคนอื่นๆ สุดท้ายก็ไม่มีใครคบ

ตามความเห็นตน นายกฯ ทำเพื่อประเทศ มองภาพส่วนรวมเพื่อไม่ให้เกิดสงคราม และเพื่อประชาชนที่อาศัยติดชายแดนกำลังเดือดร้อน การปิดด่านมีแต่จะทำให้เศรษฐกิจ 2 ฝ่ายพัง แต่ด้วยความเป็นผู้นําก็ควรจะระวังมากกว่านี้

สุดท้ายสิ่งสำคัญที่สุดในการบันทึกเสียงสนทนาคือ “เจตนา” ในการนำไปใช้งาน หากบันทึกเพื่อป้องกันสิทธิของตนเอง หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างสุจริต เช่น การเปิดโปงการกระทำผิดหรือการทุจริตต่างๆ ศาลมักพิจารณา “ยกเว้น” ความผิดให้ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่บันทึกและเผยแพร่ข้อมูลควรพิจารณาถึงผลกระทบที่จะตามมาอย่างรอบคอบ ซึ่งรวมถึงการนำข้อมูลส่วนตัวของผู้อื่นไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต.

ทีมข่าวอาชญากรรม รายงาน