เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์แรงงาน และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการใช้แรงงานต่างด้าวในประเทศไทยว่า วันนี้ประเทศไทยยังต้องพึ่งแรงงานข้ามชาติอยู่ไม่น้อย เพราะไทยยังไม่ใช่ประเทศที่พัฒนาเทคโนโลยีทางการผลิตมากนัก ไม่มีนวัตกรรมเหล่านี้ มีการใช้เทคโนโลยีต่ำ นั่นหมายความว่ายังต้องการแรงงานไร้ฝีมือ ขณะที่จำนวนแรงงานคนไทยที่จะตอบสนองส่วนนี้ก็น้อยลงทุกที เพราะเข้าสู่สังคมสูงวัย คนเดิมเกษียณ คนเกิดใหม่ก็น้อย ทางเดียวที่ภาคธุรกิจเดินต่อไปได้ก็ต้องอาศัยแรงงงานข้ามชาติ ซึ่งไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน ดังนั้นก็ต้องยอมรับว่ายังมีความต้องการส่วนนี้ อย่างไรก็ตาม เรื่องค่าแรงงานเมืองไทยก็จะสูงกว่าเพื่อนบ้าน เอื้อประโยชน์กันทั้ง 2 ฝ่าย เราได้แรงงานเขา เขาก็มีรายได้จากเรา ก็คงอยู่กันอย่างนี้ ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ตราบใดที่เราไม่พัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตให้สูงขึ้น แล้วใช้แรงงานไร้ฝีมือให้น้อยลง สถานการณ์อย่างนี้ก็คงอยู่ไปสักพัก ส่วนตัวเลขแรงงานต่างด้าวเท่าที่มีในปัจจุบันถือว่าได้ระดับหนึ่ง

เมื่อถามว่า แปลว่าไทยยังประมาทไม่ได้กับกรณีที่มีการเรียกร้องให้แรงงานกัมพูชาในไทยกลับกัมพูชา “รศ.แล” กล่าวว่า ใช่ เรายังประมาทไม่ได้ เพราะต้องเข้าใจว่า แรงงานต่างด้าวไม่ใช่ว่าจะทดแทนกันได้ง่ายๆ เพราะแต่ละชาติมีความถนัดในการทำงานไม่เหมือนกัน เช่น แรงงานเมียนมา แรงงานกัมพูชา จะหนักไปทางงานก่อสร้าง ถนนหนทาง ตึกรามบ้านช่อง ส่วนแรงงานลาว หรือเวียดนาม จะไม่เน้นทำงานในโรงงาน การผลิต หรือการก่อสร้าง แต่จะทำงานด้านบริการ หรือแม้แต่ภาคประมง เราก็คิดว่า คนเวียดนามเก่ง แต่ไม่ได้มาทำงานทางด้านนี้ เพราะเฉพาะภายในประเทศเวียดนามก็มีความต้องการแรงงานในภาคนี้มา จึงไม่ได้มาที่ไทยในส่วนนี้ ฉะนั้นต้องดู ไม่ใช่ว่า วันนี้หากแรงงานกัมพูชาออกไปแล้ว จะเอาแรงงานลาวเข้ามาแทน ซึ่งเป็นเรื่องยาก เพราะเป็นงานที่เขาไม่ถนัด
เมื่อถามว่า มีการประเมินหรือไม่ว่ามีการประเมินไว้หรือไม่ว่า กรณีทางกัมพูชาเรียกตัวแรงงานกลับประเทศแล้วจะมีการกลับจริงๆกี่เปอร์เซ็นต์ ของแรงงานกัมพูชาที่ทำงานในไทย รศ.แล กล่าววว่า อันนี้เดายาก แล้วแต่มาตรการที่ทางการเขาใช้ ว่าจะดึงแรงงานของเขากลับได้แค่ไหน ถ้าบอกว่า กลับไปแล้วเดี๋ยวรัฐบาลจะหางานให้ ตรงนี้คงไม่มีผลเท่าไหร่ เพราะถึงอย่างไรก็รู้ว่าค่าแรงในกัมพูชานั้นสู้ไทยไม่ได้ แต่ถ้ามันถึงขนาดที่เคยพูดว่า ถ้าไม่กลับแล้วจะถูกถอนสัญชาตินั้นก็อาจจะมีผลมาก ซึ่งเราไม่ทราบว่ามาตรการที่เขาจะใช้คือแค่ไหน่ แต่ถ้าแค่เป็นการชักชวนนั้นตนมองว่าไม่ค่อยได้ผล แรงงานกัมพูคงไม่กลับ

ส่วนกระทรวงแรงงานไทยควรมีแผนสำรอง หรือมองเป็นบทเรียนว่าประเทศที่มีปัญหากระทบกระทั่งกันจนทำให้เกิดความเสี่ยงต่อความไม่แน่นอนในจำนวนแรงงาน ต้องมีมาตรการแก้ไข หรือปรับสัดส่วนแรงงานในประเทศที่มีปัญหาอย่างไรนั้น รศ.แล กล่าวว่า วันนี้ 1. เราต้องพึ่งแรงงานไร้ฝีมือให้น้อยลง และยกระดับการใช้เทคโนโลยีในการผลิตให้สูงขึ้น เราต้องเตรียมคนของเราให้คุ้นเคยกับไอที เหมือนที่เวียดนามกำลังเตรียมอยู่ในขณะนี้ อันนี้คือปัญหาระยะยาว แต่เราจำเป็นต้องทำ 2. เราอาจจะต้องเปิด MOU กับประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากประเทศที่มีการเปิดไปแล้ว อาจจะไปถึงบังคลาเทศ ปากีสถาน เป็นต้น เพื่อให้ไทยมีตัวเลือกมากขึ้น เพราะตัวเลขขณะนี้ที่เปิดให้เขามาคือ ประเทศที่มีพรหมแดนติดกับไทย ยกเว้นเวียดนามที่ไกลออกไปที่มีการทำ MOU กัน
เมื่อถามว่า ถ้ามองในแง่ของประเทศที่มีปัญหา เพื่อไม่ให้มีการข่มขู่กันว่าจะดึงกลับทั้ง 5 แสนคนนั้น ไทยควรปรับสัดส่วนลงหรือไม่ รศ.แล กล่าวว่า ถึงได้บอกว่าให้มีการทำ MOU กับประเทศอื่นๆ ด้วย เพื่อให้เราตอบกับตัวเองได้ว่า ถ้าเขายกโขยงออกไปจริงๆ เราจะเอาแรงงานที่ไหนเข้ามา นั่นคือการที่เราต้องเปิดประตูไว้สำหรับทางเลือกเรา ถ้าไม่เปิดตรงนี้ไว้ แล้วเขาออกไป เราก็กระทบ แต่ระยะยาวย้ำว่า เราต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าวให้น้อยลง อย่างท่าทีของกระทรวงแรงงานที่บอกว่าแรงงานกัมพูชา จะอยู่ก็ดูแล จะไปก็ไป กลับมาเราก็รับ การพูดแบบนี้แปลว่าเราไม่มีทางเลือก ถึงอย่างไรก็ต้องง้อเขา เพราะเราไม่มีการยกระดับการใช้แรงงานมีฝีมือ นอกเสียจากจะเปิดประตูให้แรงงานจากชาติอื่นๆ เข้ามาแทน อย่างไรก็ตาม ตนมองว่า ดีที่สุดคืออย่าทะเลาะกันดีกว่า เพื่อนบ้านกัน เขาก็อาศัยเรามาแต่ไหนแต่ไร เราก็อาศัยเขามาแต่ไหนแต่ไร มาตรการพวกนี้มันควรจะมีน้อยที่สุด เพราะคนที่เดือดร้อนไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่ผู้นำ แต่คือชาวบ้านตาดำๆ ไม่ว่าจะชาติไหน โดยเฉพาะแถวชายแดนที่เป็นพี่น้องกันทั้งนั้น

“ผมคิดว่า การปะทะกัน การใช้ความรุนแรงไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย คนเดือนร้อนที่สุดคือคนอยู่ใกล้สถานการณ์ ทหาร ประชาชน คนหาเช้ากินค่ำ ผมคิดว่า วิธีที่ดีที่สุดคือการพูดคุยกันด้วยสันติวิธี โดยการพูดคุย ด้วยการเห็นอกเห็นใจ เวลาใครจะทำอะไรก็คิดถึงหัวอกคนข้างมาก โดยเฉพาะคนยาก คนจน ที่ต้องเดินทางไปหากิน แล้วธุรกิจที่ต้องอาศัยคนเหล่านี้เขาไม่ได้มีส่วนในการสร้างความขัดแย้ง ทำไมเขาต้องมานั่งรับกรรม ผมคิดว่าเรื่องพรรค์นี้ต้องเข้าใจ ที่บอกว่ารักสันติ แล้วพยายามให้ได้สิ่งเหล่านี้มาหรือเปล่า” รศ.แล กล่าว
เมื่อถามว่าไทยมีการพูดมานานว่าเทคโนโลยีจะแย่งงานคน แต่จนถึงวันนี้ไทยก็ยังต้องการแรงงานไร้ฝีมือจำนวนมาก แปลว่าเราไม่ได้มีการพัฒนาส่วนนี้จริงใช่หรือไม่ รศ.แล กล่าวว่า เราพูดมานาน 20-30 ปี แล้ว ว่าต้องลงทุนทำการวิจัยและพัฒนา แต่กลับมีการลงทุนในส่วนนี้น้อย เห็นผลที่จับต้องได้น้อยมาก เช่นอุตสาหกรรมรถยนต์เราทำมาครึ่งศตวรรษแล้ว ยังไม่มีอะไรเป็นของเรา ไทยยังคงเป็นแค่ที่ส่งออกของอุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศอื่น ขณะที่เวียดนามพยายามสร้างแบรนด์ของเขาเอง และสร้างคนมารองรับอุตสาหกรรม ซึ่งวันนี้ผลิตผลที่ออกมาก็ต้องยอมรับว่าเขามีคนที่มีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมากกว่าเรา ชี้ชัดว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร.